ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

Chartvut Bunyarak, a man who fall in love with short story.

วันอาทิตย์, ตุลาคม ๐๑, ๒๕๔๙

บทกวี : ชายทุพพลภาพ



ชายทุพพลภาพผู้ถูกทับด้วยอดีตนับอสงไขย...

เขากลายเป็น ‘สิ่ง’
ซึ่งอยู่ผิดที่ผิดเวลาที่สุดในจักรวาล
วินาทีที่ช่างภาพลั่นชัตเตอร์
บันทึกภาพเขาและคู่บ่าวสาวตราไว้ในความทรงจำ

ชุดสีขาวบริสุทธิ์ของอดีตคนรัก
ที่งานมงคลสมรสเมื่อศตวรรษก่อน
ยังคงตามหลอกหลอนในห้วงคำนึง
เสียงลึกลับนั้นก้องสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาอยู่เพียงว่า
“ที่ตรงนั้นควรจะเป็นฉัน...ที่ตรงนั้นควรจะเป็นฉัน”

และเขาก็ไม่เคยแน่ใจต่อไปอีกแล้ว
ว่าเป็นหญิงสาวคนที่ 25 หรือ 28 กันแน่
ที่กล่าวคำสาปนั้นกับเขาอีกครั้ง...
แต่เป็นวินาทีที่เธอบอกกับเขาว่า
“ขอโทษ” เป็นครั้งที่ 168 นั่นเอง
ที่เขาพลันทรุดฮวบลงบนเข่าทั้งสองข้าง

จากนั้นมา...เขาจึงกลายเป็นเพียง
วิญญาณชราที่ต้องคำสาปโบราณ
ให้ตายตกไปพร้อมกับความผิดหวัง
และจมอยู่กับคำว่า “ขอโทษ” ตลอดไป

ไม่ใช่ขาที่ไร้เรี่ยวแรงจะก้าวย่างคู่นั้นหรอก
แต่เป็นวิญญาณของเขาต่างหากที่ป่วยไข้
ด้วยร้อยความเจ็บปวด ล้านความทรงจำ
ที่กดทับ บีบคั้น และทิ่มแทง...

และนั่นล่ะ...ที่ทำให้หนึ่งกิโลกรัมของ
“หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว”
* ในมือเขา
คล้ายหนึ่งตันที่คอยถ่วงไหล่คู่นั้นให้ลู่ต่ำลง...

ยามเดินฝ่าฝุ่นแดงเข้ามาในหมู่บ้าน
สายตาของเขามักจับจ้องไปยังกลุ่มควันไฟ
ซึ่งลอยกรุ่นมาจากหน้าต่างครัวของบ้านที่อบอุ่น
เคลิบเคลิ้มไป...ดั่งปรารถนาจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน

แล้วเขาก็จะกล่าวทักทายกับใครต่อใครซ้ำๆ ว่า
“ได้โปรดอย่าหยิบยื่นอดีตให้กับฉันอีกเลย”
จึงทุกสายตา...ต่างจ้องมองเขาด้วยแววรันทดเวทนา
เว้นก็แต่เพียงเด็กๆ ที่ยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ที่มักจะจับกลุ่มกันวิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง
พลางตะโกนชื่อของเขาอย่างล้อเลียนว่า...
“ช า ย ทุ พ พ ล ภ า พ ผู้ ถู ก ทั บ ด้ ว ย อ ดี ต นั บ อ ส ง ไ ข ย”
“ช า ย ทุ พ พ ล ภ า พ ผู้ ถู ก ทั บ ด้ ว ย อ ดี ต นั บ อ ส ง ไ ข ย”
“ช า ย ทุ พ พ ล ภ า พ ผู้ ถู ก ทั บ ด้ ว ย อ ดี ต นั บ อ ส ง ไ ข ย”

................................................


* หนังสือ “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” บทประพันธ์ของ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ
ภาพ : Anonymous

ที่มา : http://ewancient.lysator.liu.se


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

เรื่องสั้น : คือคำสารภาพ

คือคำสารภาพ

ผมคือหัวใจของผู้ชายคนหนึ่ง และผมกำลังจะตาย...ผมกำลังจะหยุดเต้น รู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าเหลือเกิน...แต่ก็ดีเหมือนกัน ผมอยากจะพักอย่างแท้จริงเสียที ที่ผ่านมา ผมเดินทางมาไกลมากพอแล้ว สุขและทุกข์ เหงาเศร้าและเจ็บปวดมามากแล้ว ผมทนถูกเขากระทำมานานพอแล้ว เขาใช้ผมเสียคุ้ม ไม่เคยสนใจเลยว่าผมจะรู้สึกยังไง จะทนได้ไหม และจะต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน เขามักบอกกับผมตอนที่ก้มลงมาเช็ดน้ำตาให้อยู่เสมอๆ ว่า...“จงเต้นรำไปกับโชคชะตา - Dances with Destiny...ฟังเสียงที่ร่ำร้องอยู่ข้างในตัวเองให้ดีสิ แล้วเดินไปตามนั้น ถ้าไม่เป็นบ้าไปเสียก่อนก็กลายเป็นตำนาน...*” แล้วผมก็จะเคลิ้มไปกับเขาในทุกครั้ง


เขามักจะมีเหตุผลแปลกๆ แต่ฟังดูดีมาเกลี้ยกล่อมให้ผมคล้อยตามอยู่เสมอ เขาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าชีวิตช่างเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ว่างเปล่าและแสนสั้นนัก มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องเติมเต็มความว่างเปล่านั้น ให้เป็นไปตามความหมายอย่างที่ผมต้องการ เขาผลักภาระอันหนักอึ้งนี้มาให้ตั้งแต่ผมอายุยังน้อย ผมจึงไม่มีเวลาได้เดินเล่นกินลมชมวิวเหมือนหัวใจดวงอื่นเลย บางครั้งเขามาหาผมพร้อมกับคำถามที่ฟังดูแปลกแปร่งไม่คุ้นหู...

“เลือกเอาสิ ก่อนจะถึงลมหายใจสุดท้าย อยากจะเป็นแบบไหน อยากจะมีชีวิตหรืออยากเป็นเพียงซากชีวิต - Blank People จิตวิญญาณว่างเปล่า ศักดิ์ศรีว่างเปล่า ชีวิตที่เป็นเพียง หายใจ เดิน กิน วิ่ง นอน ทำงาน สมสู่ ก้มหน้าก้มตาทำ สั่งสมวัตถุ เงินทอง บ้านหลังใหญ่ รถคันโต เสียงชื่นชมและสายตายอมรับจากผู้คนรอบข้าง - ง่ายเพียงแค่เดินตามหลังใครๆ... หรือว่าอยากจะมีชีวิต – ชีวิตที่รู้ว่าเราต้องการอะไร รู้สึกอย่างไร สุข ทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้ โกรธ เกลียด ทุกอย่างที่อยู่ตรงข้ามกับความเคยชิน ทุกอย่างที่อาจจะไม่ง่าย... เลือกเอาสิ ว่าอยากจะใช้ชีวิตหรือจะให้ชีวิตมันใช้เอาเสียให้คุ้ม เลือกสิ ก่อนที่จะถึงลมหายใจสุดท้าย เลือกเอา...”

นั่นล่ะเขาล่ะ ผู้ชายคนนั้น...นายของผม ผู้มักมาพร้อมกับสไตล์การถามนำแบบประชดประชันเสียดสี แต่ไม่หรอก คราวนี้ผมจะไม่ยอมหลงกลเขาอีกต่อไป ครั้งนี้ผมขอยอมแพ้...ผมเหนื่อยเหลือเกิน ภาวนาขอให้ครั้งนี้เขาทำสำเร็จด้วยเถิด ผมจะได้พักผ่อนอย่างแท้จริงเสียที

ใครบางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า บนโลกนี้มีผู้ที่เจ็บปวดอยู่สองประเภท ผู้ที่เจ็บปวดจากการขาดชีวิต และผู้ที่เจ็บปวดจากการมีชีวิตที่มากเกินไป** ผมมักจะพบว่านายของผมอยู่ในประเภทที่สอง ใช่เขาจริงๆ นั่นล่ะ...ผู้ที่เจ็บปวดจากการมีชีวิต จากการใช้ชีวิตที่มากเกินไป บางครั้งเขาก็ดูเหมือนคนเป็นโรคจิต ที่ชอบพาตัวเองและผมเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม สุ่มเสี่ยงต่อความเจ็บปวดและเสียใจ รู้ทั้งรู้ก็ยังทำ ชอบแกว่งเท้าเข้าไปให้เสี้ยนมันตำเล่น บางทีเห็นความเจ็บปวดรออยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ยังบอกให้ผมรีบวิ่งเข้าใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องของความรัก เขาไม่เคยรีรอที่จะไขว่คว้าเอาวันเวลาเหล่านั้นไว้ เขาว่าความรักเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การได้เรียนรู้ที่จะรักใครสักคน เป็นการเรียนรู้เพื่อจะได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิต...

ฟังดูดีใช่ไหม...แต่นั่นมันก่อนที่เขาจะคลานสี่ขากลับมาด้วยความเจ็บปวด แล้วบอกกับทุกคนว่าเป็นความผิดของผม เป็นความผิดของหัวใจ...“หัวใจเป็นอวัยวะที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ใจคนมันไม่มีตรรกะ และตรงนั้นแหละที่จะนำมาซึ่งความสุขและความฉิบหายทั้งปวง หัวใจมีหน้าที่เรียกร้อง แล้วไม่รู้เป็นอะไร ไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะฝืนใจมันบ้าง ถึงจุดหนึ่งก็ลืมทุกอย่างและตามใจมันทุกครั้ง ตามใจและคราวนี้ก็รอลุ้น...***” แน่ะ...ดูพูดเข้า เขายังมีหน้ามาโยนความผิดให้กับผมอีก ปรักปรำกันอย่างหน้าด้านๆ ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาเองนั่นแหละที่เป็นคนตัดสินใจปิดการทำงานของสมอง - เพื่อนของผม แล้วสั่งให้ผมทำตามความต้องการของเขา จนบางทีผมก็ชักจะงงๆ อยู่เหมือนกันว่าที่จริงแล้วมันเป็นความต้องการของใครกันแน่ ของเขาหรือของผม แล้วใครเป็นนายใครกัน ผมเป็นนายเขาหรือว่าเขาเป็นนายผม...

เขาเองก็ยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ เช่นเดียวกันกับที่ยังคงตอบคำถามไอ้นกแก้วไม่ได้ ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นนายไอ้นกแก้วหรือว่าไอ้นกแก้วเป็นนายของเขากันแน่ ใครบงการใคร ใครเป็นคนนำ และใครเป็นคนตาม เพราะถ้าหากว่าคำตอบคือไอ้นกแก้วและผมเป็นไทแก่ตัวจริง มีสมองคิดและสั่งการเองได้ รวมถึงสั่งการเขาได้ด้วย นั่นหมายความว่าองค์ความรู้ทางด้านอภิปรัชญาของมนุษย์ แสงประทีปแห่งปัญญาที่คอยส่องนำทางมวลมนุษยชาติอยู่นั้น อาจถึงกาลต้องนำลงมาปัดฝุ่นสังคายนากันเสียใหม่ เพราะคำตอบที่ได้แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่า เจตจำนงเสรีของมนุษย์นั้น หาได้มีอยู่จริงไม่...

ถ้าหากว่าความรักเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของชีวิตจริงๆ นอกเหนือไปจากการงาน ความหวังและความฝัน เหมือนอย่างที่มีคนเคยกล่าวเอาไว้ ผมว่าเขาคงจะนอนตายตาหลับ เพราะที่ผ่านมาเขาได้ใช้ชีวิตเสียคุ้มค่าแล้ว สมควรแก่เวลาที่เขาจะจากไปอย่างเงียบๆ ดีกว่าอยู่ต่อไปเพื่อทำร้ายผู้บริสุทธิ์ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขา ผมว่าเขาเองก็รู้ซึ้งถึงความจริงในข้อนี้ดี จึงได้ตัดสินใจทำลงไปอย่างนั้น ช่วงวัยวันที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งยี่สิบแปดลมร้อน ยี่สิบแปดห่าฝน ยี่สิบแปดสายลมหนาว เขาเคยมีคนรักมาแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน เคยมีความรักเกิดขึ้นในหัวใจมาแล้วไม่น้อยกว่ายี่สิบครั้ง เคยสุข-ทุกข์ ดีใจ-เสียใจ รัก-ถูกรัก หักอก-อกหัก หัวเราะ-ร้องไห้ เป็นคนดี-เป็นคนเลว โง่-ฉลาด เคยทำถูก-เคยทำผิด เคยมีความสุขจนหัวใจพองโตและเคยเจ็บเจียนตาย เคยเห็นแก่ตัวและเคยเสียสละ และอีกมากมายสารพัดที่เขาเคยเป็น เคยผ่านมาแล้วจากประสบการณ์ในอดีต...

แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาจะมั่นใจได้มากขนาดนี้ ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตัวของผม ความรู้สึกที่เขามีต่อผู้หญิงคนหนึ่งคือรักแท้ และนั่นล่ะคือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม จุดเริ่มต้นของการลงทัณฑ์ที่ใครบางคนกำหนดมาให้เขาต้องชดใช้ และคือจุดจบของความรักครั้งสุดท้ายของเขา รวมถึงจุดจบของชีวิตเขาเองด้วย...

ผมคงไม่รู้ว่าคุณจะตอบยังไง หากมีใครสักคนมาถามคุณว่าคุณจะเลือกรักใคร ระหว่างคนที่เขารักคุณกับคนที่คุณรักเขา แต่ผมรู้ดีว่าเขาจะตอบอย่างไร เขาจะบอกว่ารักคนที่เขารักเรานั้นสุขเป็นอันประกันได้มากกว่าทุกข์ รักคนที่เรารักเขานั้นทุกข์เป็นอันประกันได้มากกว่าสุข เพราะไม่แน่เสมอไปว่าคนที่เรารักเขานั้น เขาจะรักเราตอบเหมือนอย่างที่เรารักเขา แต่ถึงกระนั้นผู้รู้บางท่านก็เคยกล่าวไว้ว่า “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกรักคนไหน ก็จะต้องเจอะเจอกับทุกข์อยู่ดี เขาจึงขอเลือกที่จะรักคนที่เขารักดีกว่า เพราะอย่างน้อยที่สุดเขาก็ได้เลือกเอง ได้ทำตามความรู้สึกของตัวเอง ได้รักคนที่เขาอยากจะรัก ได้ทำตามอย่างที่เสียงของหัวใจตัวเองมันร่ำร้อง เขาจะให้เหตุผลว่า ความรักนั้นเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมเหมือนภาพแอบสแตรค เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ เราจึงไม่อาจใช้เหตุผลหรือตรรกะใดๆ ไปอธิบายในเรื่องของความรักได้หรอก ความรักไม่มีถูกมีผิด มีแต่รัก รักคือรัก มันเป็นเรื่องของชะตากรรม ความรักไม่เคยทำร้ายใคร คนเราต่างหากที่ทำร้ายกัน...

หากผมถามคุณว่าในเรื่องของความรัก คนเราควรใช้ Head นำ Heart หรือใช้ Heart นำ Head คุณจะตอบว่าไง แต่ถ้าเรานำคำถามนี้ไปถามคนที่ฉลาดสักหน่อยเขาอาจตอบว่า ทางสายกลาง...หาจุดกึ่งกลาง หาความพอดีให้เจอ แล้วก็ใช้มันอย่างละครึ่ง ไม่ต้องให้ใครนำใครหรอก ให้มันเดินไปพร้อมๆ กัน แต่แน่นอนล่ะถ้าคุณไปถามเขา เขาจะตอบว่า “ฟังเสียงของหัวใจตัวเองให้ดีสิ แล้วเดินไปตามนั้น อย่ากลัวที่จะเจ็บปวด อย่ากลัวที่จะได้เรียนรู้ว่าความรักคืออะไร อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป ได้มีโอกาสเรียนรู้แม้เพียงครั้งว่าความรักที่แท้จริงนั้นคือสิ่งใดกัน ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว จำไว้ว่า ความรักนั้นเปรียบเสมือนม้าพยศที่ไร้บังเหียน ถ้าเธออยากรู้ว่าคนไหน ใช่หรือไม่ใช่ คนๆ นั้นที่เธอเฝ้ารออยู่ ลองถามตัวเองให้ดีสิ ถึงเหตุผลที่ทำให้เธอรักเขา ถ้าเธอหาเหตุผลดีๆ ให้ตัวเองได้สักสองสามข้อนั่นก็ยังธรรมดาอยู่ แต่ถ้าเจอใครบางคนที่เธอไม่สามารถหาเหตุผลให้กับตัวเองได้สักข้อแล้วล่ะก็ รีบไขว่คว้าเขาคนนั้นเอาไว้ให้ดีเชียวล่ะ เพราะเธออาจไม่มีโอกาสอีกเป็นหนที่สอง...” ฮะ ฮะ ฮะ นั่นล่ะ คำแนะนำในแบบของเขา แต่นั่นอาจจะเป็นข้อดีที่สุดเพียงข้อเดียวเท่าที่เขามีอยู่ก็เป็นได้ เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่เขาทำและทำในสิ่งที่เขาเชื่อ และมันคือที่มาของเรื่องราวโศกนาฏกรรมรักของเขา เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองเดือน
ก่อน...

เย็นวันนั้นเขานัดเจอเธอที่หน้าโรงหนังลิโดบริเวณสยามสแควร์ เพื่อเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังเธอเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือเขาไว้ในเรื่องงาน เพราะงานที่เขาทำมีความจำเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับบริษัทที่เธอทำงานอยู่ ก่อนนั้นเขาเคยเจอเธอแวบนึงแล้วที่ที่ทำงานของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนอกสนใจอะไรเธอเป็นพิเศษนัก นอกจากกล่าวคำขอบคุณสำหรับสิ่งของที่เธอนำมาให้ เพราะเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงผิวขาว หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษเลย หลังจากวันนั้นเขามีโอกาสได้โทรฯไปหาเธอบ้างเพื่อปรึกษาเรื่องงาน และยิ่งถี่มากขึ้นเมื่อเขามีเรื่องให้เธอต้องช่วยเหลือ การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่นและเริ่มออกอรรถรสมากยิ่งขึ้นตามจำนวนครั้งที่ได้คุย ต่างฝ่ายต่างพูดคุยถูกคอกันตามประสาเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากชวนเธอไปกินข้าวดูหนัง...

การนัดหมายเป็นไปอย่างเรียบง่าย เขามาถึงก่อนจึงรีบขึ้นไปจองตั๋วหนังเอาไว้สองที่ แล้วกลับมายืนรอเธอตรงที่เดิม ไม่นานนักเธอก็มาถึงพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน ยังจำได้ว่าด้วยความเป็นคนปากไว เพียงเจอหน้ากันครั้งแรกเขาก็เผลอทักเธอว่าแต่งหน้าเข้มเกินไป ดูไม่เหมาะกับบุคลิกเอาเสียเลย เธออายจนหูแดงก่อนรีบยกไม้ยกมือเช็ดเครื่องสำอางออกเป็นการใหญ่ เขาเพิ่งมารู้ในภายหลังว่าที่เธอแต่งหน้าเข้มเพราะตั้งใจจะเบี้ยวดูหนังกับเขาแล้วไปเที่ยวต่อกับเพื่อนๆ แทน...

หลังเสร็จสิ้นจากมื้ออาหารตรงหน้าแล้ว เขาและเธอจึงแยกตัวออกมาเพื่อไปดูหนัง เธอบอกเพื่อนๆ ให้ล่วงหน้าไปที่ร้านก่อน ดูหนังเสร็จแล้วเธอจะตามไป แต่สุดท้ายคืนนั้นเธอก็ไม่ได้ไปตามที่รับปากเพื่อนๆ ไว้ จะเป็นด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาฟ้าดินกำหนดมาก็มิอาจทราบได้ หนังที่พอจะมีความน่าดูอยู่บ้างสำหรับนักบริโภคภาพยนตร์อย่างเขา ที่ลงโรงฉายอยู่ในช่วงปลายสัปดาห์นั้นมีอยู่เพียงเรื่องเดียว ซึ่งเป็นหนังผีจากประเทศเกาหลี พอหนังเริ่มฉายไปได้เพียงสิบกว่านาทีก็เริ่มส่อแววว่าจะน่ากลัวมากกว่าที่คิดไว้ บรรยากาศภายในโรงก็ชักจะอึมครึม ทุกคนนั่งตัวแข็งเกร็งเงียบกริบ สายตาจดจ้องไปกับภาพตรงหน้า ติดตามเรื่องราวลุ้นระทึกว่าจะถึงฉากน่ากลัวที่มาช็อคปลายประสาทให้เขม็งเกลียวขนหัวลุกชันเมื่อไหร่ จะได้ไหวตัวหลบหลีกระมัดระวังทัน เขาหันไปดูก็เห็นว่าเธอเองชักจะมีท่าทีแปลกๆ จากที่เคยนั่งตัวตรงตั้งใจดูก็เริ่มเอียงตัวแทบจะหันข้างให้จออยู่แล้ว ขดตัวห่อไหล่ให้เล็กลีบเหลือตัวนิดเดียว แถมยังเอาฝ่ามือมากางปิดตาไว้อีก แง้มเป็นช่องเล็กๆ ไว้ระหว่างง่ามนิ้วพอให้มองเห็น ประมาณว่าถ้าถึงฉากอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจให้เรรวนเมื่อไหร่ เธอก็พร้อมที่จะปิดมันลงในทันทีทันใดเพื่อยุติการรับรู้เรื่องราวที่ตรงหน้าเพียงชั่วขณะ

ลักษณาการดังกล่าวก่อให้เกิดความรู้สึกขุ่นมัว หงุดหงิดและรำคาญขึ้นในหัวใจของชายผู้รักภาพยนตร์ ที่เสียเงินตีตั๋วเข้ามาดูหนังเพื่อเสพอารมณ์และอรรถรสต่างๆ อย่างเขาเป็นอันมาก เมื่ออดรนทนไม่ไหวเขาจึงตัดสินใจยื่นแขนออกไปคว้าข้อมือของเธอมากุมไว้ หมายให้เธอหมดหนทางปัดป้องตัวเองจากเรื่องราวตรงหน้า พลางกระซิบเบาๆ กับเธอว่า “ตั้งใจดูสิ หนังสนุกออก” เธอมีท่าทีแข็งขืนเล็กน้อย พยายามฝืนตัวดึงข้อมือที่ถูกเขาพันธนาการไว้กลับไป แต่การณ์กลับกลายเป็นว่ามือของเขาที่จับอยู่ตรงข้อมือขวาของเธอ กลับเลื่อนลงมาสัมผัสกับฝ่ามืออันอ่อนนุ่มและกุมเอาไว้แน่นอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน...

แล้วในวินาทีนั้น...ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยก็เริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขา มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยากที่จะระบุลงไปได้ว่าคือสิ่งใด รู้แต่ว่าไม่เคยพบเจอความรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย วางใจและเติมเต็ม...ความรู้และประสบการณ์ในอดีตไม่สามารถให้ความกระจ่างกับเขาได้ เขารู้เพียงว่ายี่สิบแปดปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีมือข้างไหนส่งผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปยังหัวใจของเขามาก่อน... ฉากน่ากลัวผ่านพ้นไปแล้ว เธอค่อยๆ คลายมือออกจากการยึดกุมของเขา คราวนี้เขายินยอมปล่อยมันไปแต่โดยดี ด้วยไม่มีข้ออ้างใดๆ แล้วที่จะทำอย่างนั้นต่อไป แต่แล้วเมื่อถึงคราที่ฉากน่ากลัววกกลับมาอีกครั้ง ลักษณาการเดิมๆ ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่างกันก็ตรงที่คราวนี้มือคู่นั้นไม่เคยคลายออกจากกันและกันอีกเลย...

ห้าทุ่มกว่า...หนังจบลงด้วยความขนพองสยองเกล้า ใจยังเต้นรัวไม่หายและความรู้สึกบางอย่างยังคงค้างคา ทั้งสองเดินออกมาจากโรงหนัง แต่ทั้งเขาและเธอต่างก็ยังอิดออดที่จะร่ำลาจากกันในเวลาอันรวดเร็วเพียงนี้ จึงตกลงกันว่าจะไปหาร้านเล็กๆ เงียบๆ ที่เปิดเพลงเบาๆ นั่งดื่มกินและพูดคุยกันต่ออีกสักพัก รถเคลื่อนตัวออกจากที่จอดอย่างช้าๆ เหมือนอยากจะให้เวลาในคืนนี้ยืดยาวออกไปอีกนานเท่านาน ทั้งคู่ยังคงขับรถวนไปเวียนมาอย่างไร้จุดหมาย ด้วยต่างก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายตัดสินใจเลือกร้าน แต่กว่าจะไปถึงก็เสียเวลาขับวนอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เขาสั่งเบียร์มากลั้วคอ ส่วนเธอสั่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่อ่อนๆ นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะ ซักถามเรื่องส่วนตัวของกันและกันอยู่ได้ไม่นาน ก็จำใจต้องเช็คบิลเปลี่ยนไปร้านใหม่ ด้วยที่นั่นเปิดเพลงดังเกินกว่าที่จะพูดคุยกันรู้เรื่อง

คราวนี้เธอเป็นฝ่ายเลือกร้านบ้าง มันเป็นร้านเล็กๆ บรรยากาศดีเหมาะแก่การนั่งคุยกัน เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว ทั้งร้านจึงเหลือพวกเขาอยู่เพียงโต๊ะเดียว ทั้งคู่พยายามหาเรื่องมาพูดคุยกันเพื่อทำลายความเงียบงันอันน่าอึดอัด แต่ในบางครั้งต่างก็ดิ่งลึกลงสู่โลกส่วนตัวภายใน พูดคุยกับตัวเอง ขบคิดถึงปมปัญหาบางอย่าง ใคร่ครวญและหาเหตุผลมาโต้แย้งกับสำนึกของตัวเอง ต่อสู้กับความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในจิตใจ บางหนเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากันด้วยความบังเอิญ ต่างก็ยิ้มให้แก่กันอย่างเก้อเขิน ไม่นานนักก็ถึงเวลาต้องปิดร้าน จำใจจ่ายตังค์แล้วลุกเดินออกไปขึ้นรถ แต่แล้วด้วยอะไรบางอย่างที่ดึงดูดคนทั้งคู่ให้เข้าหากัน รถจึงเคลื่อนตัวออกไปโดยมีจุดหมายอยู่ที่ฟู๊ดแลนด์สาขาที่ใกล้ที่สุด โดยต่างก็หวังเพียงว่าอยากจะต่อเวลาให้ค่ำคืนนี้ยาวนานออกไปอีกแม้เพียงนิด...หลังจากจัดการกับอาหารมื้อกึ่งดึกกึ่งเช้าเสร็จ เขาและเธอก็กล่าวคำอำลาแก่กันในเวลาเกือบตีสี่ ก่อนนอนวันนั้นเขาได้รับเมสเสจจากเธอ เป็นการขอบคุณสำหรับหนังผีเรื่องนั้น เขากดอ่านมันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วนอนหลับไปด้วยความรู้สึกสุขใจ...

เรื่องทั้งหมดน่าจะจบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เมื่อโชคชะตากำหนดให้คนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยเกี่ยวพันกันไม่ว่าจะในด้านไหน ต้องโคจรมาพบกัน ตกหลุมรักกันและกัน และต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งคือจิตวิญญาณส่วนที่ขาดหายไปของตัวเอง ถ้าหากเพียงแต่ว่าทั้งเขาและเธอจะไม่ได้มีคนรักอยู่ก่อนแล้วทั้งคู่... หลังจากวันนั้นเขาและเธอยังคงนัดเจอ ไปกินไปเที่ยวดูหนังฟังเพลงด้วยกันอีกหลายครั้ง แต่ก็เป็นไปด้วยความรู้สึกคลุมเครือ กระอักกระอ่วนใจ มันทั้งสุขและทุกข์ระคนกัน เพราะต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นผิด มันเป็นการทำร้ายความรู้สึกของบุคคลที่สามซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วย...ครั้งหนึ่งเขาเคยเอ่ยถามเธอว่า เคยไหมเวลาที่อยู่กับใครบางคนแล้วมันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เธอนิ่งไป ก่อนตอบกับเขาว่า “เคย...ตอนที่อยู่กับคุณไง” ผมยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ดี...

ช่วงนั้นเขาผ่านพ้นแต่ละคืนวันในชีวิตไปด้วยความยากลำบาก คืนแล้วคืนเล่าที่เขาเมามายหลับใหลไปอย่างไร้สติ เขาต้องรับมือกับความว้าวุ่น สับสน และทางออกที่ดูจะมืดมิดอับจน ในที่สุดเมื่อทนอยู่กับการหลอกลวงและความรู้สึกผิดในจิตใจต่อไปไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจพาผมก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งแห่งศีลธรรมอันดีงามทั้งหลายทั้งปวง เขาฉีกกฎทุกกฎทิ้ง ขยี้ทำลายทุกกรอบเกณฑ์ความเชื่อลงจนป่นปี้เป็นผุยผงไม่มีชิ้นดี เขาหันหลังให้กับถ้อยคำประณามหยามหมิ่น ไม่แยแสกับสิ่งใดๆ รอบตัวอีกต่อไป เพื่อความรักแล้วเขายินดีสละได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิต...

เขาตัดสินใจบอกความจริงทั้งหมดกับคนรักของเขา หล่อนรับฟังด้วยน้ำตานองหน้า เขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน นึกเกลียดตัวเองที่เป็นคนแบบนี้ ด่าทอโชคชะตาที่กลั่นแกล้งให้เขาต้องมาตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ขันขื่น ที่ชักนำให้เขามาเจอเธอในเวลาที่สายเกินไป... ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็แยกทางกับคนรักของเขา เขาเลือกที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองและซื่อสัตย์กับคนรักของเขาอย่างถึงที่สุด เพราะเขาไม่อยากที่จะหลอกลวงด้วยการอยู่กับหล่อนเพียงตัวแต่ใจไปอยู่กับคนอื่นอีกต่อไป...

แล้วเขาก็กลายมาเป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีครั้งไหนในชีวิตที่เขาจะเลวได้มากเท่านี้อีกแล้ว...เรื่องน่าจะจบลงด้วยดีใช่ไหมครับ ถ้าหากเพียงแต่ว่าเธอคนนั้นจะตัดสินใจทำในแบบเดียวกันกับเขา...บอกเลิกกับคนรักเก่าหันมาคบกับเขา แล้วก็ครองรักกันไปตราบจนชั่วฟ้าดินสลายเหมือนอย่างในนิยาย...แต่...ฮะ ฮะ ฮะ...แน่นอนครับ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก เพราะไม่เช่นนั้นแล้วผมจะมานอนกองอยู่กับพื้น หายใจระรินอยู่อย่างนี้ได้ยังไง...เธอตัดสินใจอยู่เหมือนกันครับ เพียงแต่คนที่เธอตัดสินใจบอกเลิกนั้น ไม่ใช่คนรักเก่าที่อยู่เมืองนอก แถมยังไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสามปีแล้ว แต่กลับเป็น “เขา” ผู้ที่ยอมทิ้งทุกอย่างมา เพราะหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับเธอ

ฮะ ฮะ ฮะ...มันเป็นตอนจบที่โคตรจะสะใจผมเลยครับ คนเลวๆ อย่างเขาสมควรแล้วที่จะได้รับจุดจบแบบนี้ แต่แปลกแฮะ...คราวนี้ไม่เห็นว่าเขาจะร้องไห้ฟูมฟายเหมือนอย่างเคย รู้สึกว่าแวบหนึ่งผมจะแอบเห็นรอยยิ้มในแววตาของเขาด้วยซ้ำไป ครั้งนี้ดูเขานิ่งและสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...เขากระซิบกับผมว่ามันเป็นเรื่องของ “ชะตากรรม” และ “การลงทัณฑ์” เป็นเวลาที่เขาจะต้องชดใช้กรรมที่ตัวเองเคยก่อเอาไว้กับผู้หญิงคนอื่นๆ เขาว่ามันเป็นการลงโทษที่สาสมดีแล้ว เขาสมควรที่จะได้รับในสิ่งนี้ เขายังบอกอีกว่า เขาไม่นึกโกรธเธอคนนั้นหรอก เธอเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ทำทุกอย่างไปด้วยความไม่รู้ เธอเป็นเพียงเครื่องมือของใครบางคนในการลงโทษเขาเท่านั้น เขาชื่นชมในความรักอันยิ่งใหญ่ของเธอ เธอตัดสินใจถูกต้องแล้วที่เลือกคนรักเก่าแทนที่จะเป็นเขา เขายินดีไปกับเธอด้วย เขายังบอกกับผมอีกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะยอมให้กับมัน - ชะตากรรม... ชีวิตนี้เขาเกิดมา อาจจะยอมให้กับอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่มัน เขาไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อก้มหน้ายอมรับชะตากรรม...ก่อนที่จะหมดสติไป ผมได้ยินเขาสบถออกมาเบาๆ เป็นครั้งสุดท้ายว่า...“_uck Destiny ! ”

ฮะ ฮะ ฮะ...ฮะ ฮะ ฮะ...ฮะ ฮะ ฮะ...นั่นล่ะครับ เรื่องราวของเขา...

ผมคือหัวใจของผู้ชายคนหนึ่ง...และผมกำลังจะตาย.

...................................................


(ภาพ : Anonymous ที่มา : http://www.fultonstreetgallery.org/exhibits/nature's%20elements/art/halakan/Sincere%20Confession.jpg)
All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

ความเรียงเกี่ยวกับภาพยนตร์ : Sideway

Sideway-ชีวิตกับไวน์ขวดที่พร่องอยู่เสมอ

บ่อยครั้งที่หนังเล็กๆ ทุนสร้างไม่กี่ล้านบาท อาจ “เขย่า” เราได้มากกว่าภาพยนตร์ฮอลลีวูดฟอร์มโตกับฉากตระการตา...หากเราไม่หลงลืมที่จะใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนเกินไป...และอาจบ่อยครั้งอีกเช่นกัน ที่คำตอบของบางคำถามซึ่งยังคงค้างคาใจเราอยู่นาน กลับเผยตัวเองอย่างง่ายดาย ผ่านเรื่องราวธรรมดาๆ ของผู้คนธรรมดาๆ ด้วยถ้อยคำที่สุดแสนจะธรรมดา


ง่าย-งาม น่าจะเป็นนิยามที่เหมาะสมกับ Sideway ด้วยประการทั้งปวง

หากแต่ในความเรียบง่ายนั้นเอง ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด เปี่ยมความพิถีพิถันอย่างมีนัยสำคัญ เปรียบกับหญิงสาว หล่อนคงเป็นหญิงสาวร่างเล็กผิวบอบบาง เจ้าของนัยน์ตาสวยเศร้ากับรอยยิ้มมีเลศนัยตรงมุมปาก...หล่อนเล่าเรื่องราวผ่าน ไมล์ส นักเขียนทุพพลภาพ(ทางจิตวิญญาณ)ผู้ถูกทับด้วยอดีตนับอสงไขย หนุ่มใหญ่ผู้จมปลักอยู่กับความผิดหวังจากชีวิตแต่งงานและการงานที่ล้มเหลว แต่นอกจากจะเป็นนักเขียนแล้ว เขายังเป็นนักชิมไวน์ตัวยงอีกด้วย! เหตุนี้เองฉากหลังของเรื่องจึงระบัดใบเขียวไสวไปด้วยไร่องุ่น อีกทั้งสัญญะมากมายถูกส่งผ่านมาทางไวน์ดังปรากฏอยู่ในส่วนหนึ่งของเรื่อง

“ฉันถามเรื่องส่วนตัวคุณได้ไหมคะไมล์ส...ทำไมคุณถึงชอบ พิโน่
* นัก”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...องุ่นนี่มันเลี้ยงได้ยาก ก็อย่างที่คุณรู้ เปลือกมันบาง ค่อนข้างเปราะบาง สุกเร็ว มันไม่ใช่นักเอาตัวรอดเหมือน คาบอนเน่
* ซึ่งโตที่ไหนก็ได้แล้วก็ยังรอด แม้ว่าจะไม่มีใครดูแล...แต่ว่าพิโน่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ตลอด แล้วก็มีแต่คนปลูกที่อดทนเอาใจใส่เท่านั้น มีแต่คนที่ยอมเสียเวลาเข้าใจในศักยภาพของพิโน่เท่านั้น ที่จะทำให้มันแสดงตัวตนของมันได้อย่างเต็มที่”

อรรถาธิบายดังกล่าวหาใช่อื่นใดไม่ นอกจากการสะท้อนถึงบุคลิกและตัวตนในเบื้องลึกของตัวละครเอก สำหรับผม...เพียงฉากเดียวนี้ก็คุ้มค่าแก่การจ่ายเงินแล้ว เพราะท่ามกลางการตอบคำถามอย่างประดักประเดิดนั่นเอง เราจะเห็นแววตาอันอ่อนโยนคู่หนึ่งจ้องมองมาด้วยความเข้าอกเข้าใจ เราจะรู้ได้ในทันทีเลยว่า “นี่ล่ะ! คนปลูกที่จะอดทนเอาใจใส่ คนที่จะยอมเสียเวลาเข้าใจคนนั้น” ให้ตายเถอะ! มันเป็นฉากโคตรโรแมนติกที่ไม่โรแมนติกที่สุดเลยตั้งแต่ผมเคยดูมา

เราอาจแบ่งช่วงเวลาในหนัง ผ่านพัฒนาการทางความคิดของไมล์สได้เป็น 3 ช่วงตอน คือ หมกมุ่น ครุ่นคิด และคลี่คลาย เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะโฟกัสไปในช่วงแรก ซึ่งเป็นการเดินทางเรื่อยเปื่อยเพื่อแสวงหาอะไรที่มัน(ส์)สุดขั้วเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับ แจ็ค เพื่อนสนิทของไมล์ส ผู้กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ทั้งคู่ขับรถผ่านเมืองเจ็ดเมือง แวะดื่มไวน์จีบสาวตามไร่และร้านอาหารร่วมเจ็ดวัน เป็นระยะเวลาเจ็ดวันที่มีทั้งเสียงหัวเราะและหยาดน้ำตา มีความโรแมนติกผสานเรื่องวุ่นวายชวนหัว มีการหลงทางและการค้นพบ...

แตกต่างจากความละเอียดอ่อนละเมียดละไมของไมล์สโดยสิ้นเชิง ขณะที่ไมล์สกำลังดื่มด่ำกับรสละมุนของไวน์ชั้นดีในกระพุ้งแก้ม สำหรับคนที่พร้อมจะไขว่คว้าความสนุกในชีวิตอย่างแจ็คแล้ว ไวน์ก็คือไวน์เหมือนๆ กัน เขาจึงไม่ยี่หระอะไร หากจะเคี้ยวหมากฝรั่งไปพร้อมๆ กับการชิมไวน์ และด้วยบุคลิกอันแปลกต่างอย่างสุดขั้วนี้เองที่เป็นเสน่ห์อันประหลาดล้ำ เป็นความลงตัวแห่งสัมพันธภาพของมิตรสหายสองคน ด้วยมุมมองและวิธีการมองโลกที่ไม่ใกล้เคียงกันเลย จึงเป็นที่มาของความสนุกเข้มข้นของเนื้อเรื่อง ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว แต่ละคนต่างก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการเดินทางชิมไวน์(และชีวิต)ในครั้งนี้ และจากกันและกัน...

หนังเปิดและปิดเรื่องด้วยเสียงเคาะประตู...แต่หลังประตูบานนั้นๆ “ใคร” จะได้พบกับข้อความใด ย่อมขึ้นอยู่กับจังหวะการเต้นของหัวใจแต่ละดวง.

..............................................

* พิโน่ คือชื่อขององุ่นพันธุ์หนึ่งที่ใช้หมักไวน์
* คาบอนเน่ คือชื่อขององุ่นพันธุ์หนึ่งที่ใช้หมักไวน์
(ภาพ : Anonymous ที่มา : http://blog.e-rose.her.jp/images/sideway.jpg)

All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

บทกวี : รูปสลัก

รูปสลัก

1
มันไม่สำคัญหรอกว่า
ใครบางคนที่ยิ่งใหญ่กว่าเรา
จะประสงค์ให้เธอ
เป็นบททดสอบของฉันหรือไม่

มันไม่สำคัญหรอกว่า
ชะตากรรมของเรานั้น
อาจเป็นเพียงเส้นบางๆ
ซึ่งลากมาตัดกัน ณ กาลและสถานหนึ่ง

หากมันสำคัญที่ว่าในวันนี้
เรามีกัน...
เรารักกัน...
เราจึงอดทนเพื่อเรียนรู้กันและกัน...

2
และด้วยความไม่เดียงสาของเธอเอง
ที่กระชากวิญญาณขบถให้หยุดบิน
ดิ่งสู่ห้วงเหวแห่งการสารภาพ
ณ ที่แห่งนั้น...

ทารกขี้เซาแห่งบรรพกาล
ถูกปลุกให้ฟื้นจากนิทราอนันต์
เขาจดจ้องฉันอย่างสำรวจตรวจสอบ
ผ่านตาดวงที่สามซึ่งเคยมืดบอด

วินาทีนั้น...ฉันจึงตระหนัก
ฉันคนที่หลับคือคนที่ตื่น
ฉันคนที่ตื่นคือคนที่หลับ
แล้วฉันคนที่หลับจึงได้ตื่น!

3
ด้วยความเห็นแก่ตัวของเธอเอง
ที่ทุบทำลายมายาแห่งการตรัสรู้อันตื้นเขิน
นิยามรักแบบเดิมถูกทบทวนอีกครั้งและอีกครั้ง
และในวินาทีนั้น...เมล็ดพันธุ์จึงหยั่งราก

ฉันเข้าใจแล้วว่าเหตุใด “รักแท้คือการให้”
เพราะการเสียสละ ดุจเดินปิดตาฝ่าพงหนาม
ละอัตตา-ศักดิ์ศรี-สิ่งจอมปลอม และยอมรับข้อจำกัด
มีแต่รักแท้เท่านั้นที่ยอมน้อมกายต่ำจนละเลี่ยดิน

แท้จริงแล้ว เราต่างเป็นกระดาษทราย
เป็นรูปสลักของกันและกัน
ผลัดกันขัดเกลา ลบเสี้ยนหนามและเหลี่ยมมุม
เพื่อข้ามพ้นขวากหนามสู่การเติบใหญ่ภายใน

4
ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงต้อง “ขอบคุณ”
ใน “ความไม่รู้” เธอทำให้ฉันได้ “รู้”
ฉันเฝ้าภาวนาอยู่เพียงว่า
ใน “ความไม่รู้” ของฉัน จักทำให้เธอได้ “เรียนรู้” เช่นกัน

และเมื่อนั้น...
ด้วยมืออันหยาบกร้านของปุถุชนเยี่ยงเรา
อาจสามารถพอจะสลักเสลาประติมากรรมสักชิ้น
ไว้เป็นตัวแทนประวัติศาสตร์แห่งรักได้บ้าง

เพื่อที่วันหนึ่งข้างหน้า...
วันที่เราต่างร่วงโรยวัย
เราอาจจับมือกัน มองมายังรูปสลักรูปนี้
อย่างไร้ถ้อยคำ...

....................................

(ภาพ : Anonymous ที่มา : http://photo-forum.net/res/8izlojba/madman.jpg)


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

เรื่องสั้น : เจตนารมณ์สุดท้ายของชายวิปลาส

เจตนารมณ์สุดท้ายของชายวิปลาส

ข้ายอมแล้ว...ข้ายอม ข้าขอยอมแพ้แก่ท่าน ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าท่านจะมีตัวตนหรือไม่ก็ตาม ข้าขอยอมแพ้ ข้ายอมรับว่าท่านมีพลังอำนาจเหนือข้ามากมายนัก เปรียบกับท่านแล้วข้าก็แค่เศษเสี้ยวธุลีดิน เพียงแค่ท่านกระพริบตา ก็คงจะพาเอาลมหายใจสุดท้ายจากข้าไปได้...


เอาเลยสิ ! ข้าขอร้อง ข้าปรารถนามันมานานแล้ว ข้าขอร้อง ทำไมล่ะ...ทำไมท่านถึงไม่ยอมสนองตอบคำวิงวอนจากข้า กับผู้ที่ไม่เคยปรารถนาท่านกลับหยิบยื่นให้ ทั้งที่พวกเขายังอาวรณ์กับชีวิต แต่กับผู้ที่ต้องการจะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากขื่อคาพันธนาการแห่งชีวิตอย่างข้า ผู้ที่ไม่เคยแยแสในคุณค่าของลมหายใจ ท่านกลับเหนี่ยวรั้งเอาไว้เพื่อสิ่งใดกัน !

ท่านต้องการอะไรจากข้ากันแน่...ความเจ็บปวดทุกความเจ็บปวดที่ข้าจ่ายไปยังไม่สาแก่ใจท่านอีกหรือ เจตจำนงที่แท้จริงของท่านคือสิ่งใด ไยจึงต้องกระทำต่อข้าเยี่ยงนี้ ได้โปรดเถอะ...ข้าขอร้อง ข้าขอคุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าท่าน ข้าขอวิงวอนต่อท่าน ได้โปรดรับฟังเสียงกู่ตะโกนอันเงียบสนิทนี้ด้วยเถิด ข้าจะไม่แข็งขืน ข้าจะไม่ต่อสู้ ข้าจะไม่ดิ้นรนแสวงหาสัจจะอีกต่อไปแล้ว ข้าเหนื่อยเหลือเกิน…

หลังจากการเดินทางตรากตรำทางจิตวิญญาณอันยาวนาน คมดาบแห่งกาลเวลาทิ่มแทงข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าเหมือนหลับตาเดินไปในความมืด บุกฝ่าดงหนามอันแหลมคมแห่งการแสวงหา มันเกี่ยวบาดข้าครั้งแล้วครั้งเล่า มันทิ่มแทงผิวกายข้าลึกไปถึงในกระดูก...เจ็บปวดเหลือเกิน เลือดข้าหลั่งริน ข้ากระหาย ไร้ทางเลือกใด นอกจากก้มลงไปดื่มกินหยาดโลหิตของข้าเอง เค็มคาวฝาดเฝื่อน ข้าสำรอกเลือดชั่วของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

ข้ากระหน่ำฟันจอบลงไปในใจ ข้าขุด ข้าคุ้ยจิตใต้สำนึกของข้า ข้าต้องการเห็นข้าในมุมมืด ข้าปรารถนาจะกระชากหน้ากากของมันออกมา ข้าอยากจะเอาชนะความต้องการของตัวเอง เอาชนะข้อจำกัดของตนเอง ข้าต้องการอยู่เหนือกฎแห่งสัญชาตญาณดิบทุกข้อ แต่แรงกายแรงใจและความพยายามทั้งหมดที่ทุ่มเทลงไปช่างดูไร้ค่า...ข้าเห็นตัวเองเป็นเพียงหอยทากที่กำลังคืบคลานไปบนใบมีดโกนอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ ฝังเนื้อของตัวเองเข้าไปในคมมีดอย่างไม่มีทางเลือก เพียงเพื่อจะพบกับความทุกข์ทรมานอันไม่มีที่สิ้นสุด ท้ายแล้วสิ่งที่ข้าได้กลับคืนมาในทุกครั้งก็คือความว่างเปล่าอันไร้สาระไร้แก่นสาร…

ข้าหมดเรี่ยวแรงและกำลังใจที่จะเดินทางเพื่อแสวงหาอีกต่อไป วัยหนุ่มอันร้อนแรงของข้าปรารถนาจะหลุดพ้น แต่จิตวิญญาณชราของข้าล้าเกินกว่าจะทำอะไรได้ สัจจะช่างแห้งแล้งดั่งทะเลทราย ข้าสงสัยนักว่าท่านให้เจตจำนงเสรีแก่ข้ามาทำไม หรือข้าเป็นเพียงสายพันธุ์ที่ถูกสาป ทำไมท่านถึงได้จงเกลียดจงชังพวกข้านัก จึงปล่อยให้พวกข้าทนทุกข์ทรมานอย่างโดดเดี่ยว เคว้งคว้าง ไร้ที่พึ่งใด ท่านสาปให้พวกข้าเป็นสายพันธุ์เดียวที่กระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้นโลก ท่านสาปให้พวกข้ามีมันสมองที่ใหญ่ที่สุด แต่กลับโง่ ท่านให้ข้าตื่นในขณะที่ข้ายังหลับ ท่านให้ตาที่สามแก่พวกข้า แต่กลับแกล้งปิดมันไว้ ท่านขังข้าไว้ในคุกของความคิด คุกที่อับชื้น มืดสนิทและไร้ทางออก ท่านสนุกนักหรือไงกับการนั่งมองพวกข้าพายเรืออยู่ในอ่าง...

ท่านเป็นโรคจิตหรือไงถึงได้มีความสุขอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่น !

ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร ข้าไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไร ข้าไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน ข้าไม่รู้ว่าท่านมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ข้ารู้แต่ว่าข้าไม่ชอบขี้หน้าท่าน ! ข้ารู้แต่ว่าข้าเกลียดท่านยิ่งนัก ! ท่านมันไอ้โรคจิต ! ข้าเกลียดท่าน ! อย่าให้ข้าได้เจอ ถ้าข้ามีโอกาส ข้าสาบานว่าข้าจะฆ่าท่านด้วยมือของข้าเอง !

ข้าจะปลดปล่อยมวลมนุษยชาติให้เป็นอิสระจากพันธนาการทั้งปวง ข้าจะใช้อำนาจของท่านเปิดดวงตาแห่งปัญญาให้กับพวกเขา ให้พวกเขายุติการดิ้นรนไขว่คว้าทั้งปวง ให้พวกเขารู้ว่าชีวิตนั้นแสนสั้นนัก...เกินกว่าที่จะเกลียดกันตลอดไป ให้พวกเขาเลิกทำร้ายกันด้วยความไม่รู้ เลิกเอารัดเอาเปรียบกัน ให้พวกเขารักกัน…

แล้วข้าจะฆ่าท่าน ! ฆ่าท่านให้ตายอย่างช้าๆ ให้ทุกข์ทรมานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าจะแปรเปลี่ยนความเกลียดทั้งปวงในใจให้เป็นพลังเพื่อสยบท่าน ! เพื่อทรมานท่าน ! ให้มันสาสมกับที่ท่านกระทำกับพวกข้าไว้ ข้าจะใช้ขวากหนามแห่งการแสวงหาพันธนาการท่านไว้ ข้าจะใช้ดาบแห่งกาลเวลาค่อยๆ แล่เนื้อเถือหนังท่านทีละนิด แล้วกระหน่ำแทงท่านสักร้อยครั้งพันครั้ง ! ข้าจะใช้มืออันต่ำต้อยของข้า ควักหัวใจท่านออกมาดู ข้าอยากจะรู้นักว่ามันทำด้วยอะไร ข้าจะบั่นคอท่านต่อหน้าชนทั้งปวง แล้วเอาเลือดของท่านมาใช้ล้างตีนให้มันสาแก่ใจ !

แต่ไม่นะ…ไม่…ไม่ใช่…ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าขอโทษ ข้าไปไกลเกินไป ข้าขออภัย ข้าไม่ได้หมายความอย่างที่ข้าคิด…ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย…ข้ายอมแล้ว ข้าขอหมอบศิโรราบอยู่ใต้ฝ่าตีนของท่าน ข้าขออภัยที่ความเขลาทำให้ข้าเคยแหงนหน้ามองฟ้าแล้วตะโกนด่าท่าน ข้ารู้ว่าข้าไม่สามารถปิดบังท่านได้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอีก ข้าจะไม่แข็งขืนกับท่านอีกต่อไปแล้ว ข้าจะหมอบอยู่ใต้ฝ่าตีนของท่านตลอดไป

แต่…แต่ข้ายังสงสัยยิ่งนัก ข้าสงสัยว่าท่านให้มันสมองที่ใหญ่โตแก่พวกข้ามาทำไม ถ้ามันไม่ได้ทำให้พวกข้าแตกต่างไปจากสัตว์ ข้าเห็นคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะใช้มันนัก ข้าเคยดูถูกผู้คนที่ไม่สนใจแสวงหาสัจจะ พวกที่มีลักษณะประนีประนอมในทุกสิ่ง พวกที่สนใจแต่ในเรื่องของวัตถุ ข้าปฏิเสธทุกสิ่ง ข้าหันหลังให้กับพวกเขาแล้วเริ่มเดินทางแสวงหาสัจจะ... จนถึงวันนี้ ข้าถึงได้เข้าใจว่าในอีกนัยหนึ่งแล้ว พวกเขาก็เหมือนผู้บรรลุแล้ว...ที่หมกมุ่นอยู่แต่ในโลกของผัสสะ เพราะในอีกด้านหนึ่งที่ปวงปราชญ์แสวงหา...ก็เจอแต่ความว่างเปล่า หรือว่าสมองเป็นเพียงอวัยวะที่ถูกสาปมาให้คู่กับมนุษย์จริงๆ เช่นเดียวกับความว่างเปล่าและเสรีภาพ…

โอ...ได้โปรดเถอะ ข้ายอมแล้ว ข้าขอยอมแพ้แก่ท่าน ข้าขอหมอบศิโรราบอยู่ใต้ฝ่าตีนของท่าน ข้าขอกราบกรานต่อท่าน ได้โปรดเถอะ...ข้าเหนื่อยล้าเหลือเกิน ได้โปรดเอามันออกไปจากหัวของข้า ข้าต้องการที่จะยุติการเดินทางอันยาวนานในหัวสมองเสียที มันช่างทรมานเหลือเกิน...ได้โปรดเถอะ ข้ายอมแล้ว ข้าขอหมอบศิโรราบอยู่ใต้ฝ่าตีนของท่าน ได้โปรดหยิบยื่นมันให้กับข้าด้วยเถิด...ความตายอันแสนสุข...ข้าปรารถนามันยิ่งนัก ได้โปรดเถอะ...ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ งับหัวแม่ตีนของท่าน !

……………………………
(ภาพ : Anonymous ที่มา : http://photo-forum.net/res/8izlojba/madman.jpg)


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

ความเรียงเกี่ยวกับภาพยนตร์ : Finding Nemo

Finding Nemo-เด็กน้อยในตัวเราที่หายไป

หากเป็นสักยี่สิบปีก่อน คงไม่แปลกอะไร หากผมจะตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อตื่นแต่เช้ามานั่งเฝ้าหน้าจอทีวี เพื่อรอดูการ์ตูนดังวันหยุด...แต่คงไม่บ่อยครั้งนักที่ Animation สักเรื่อง จะสามารถตรึงใจชายอายุไกลจากวัยเด็กอย่างผมได้ หากมันไม่มีอะไรบางอย่างมากพอ เหมือนที่นีโม่ได้ให้กับผม...


จริงๆ แล้ววิธีคิดแบบเด็ก การมองโลกแบบเด็กๆ เป็นสิ่งที่ปราชญ์ผู้คงแก่เรียนในหลายสถาน ย้อนไปเมื่อหลายพันปีก่อนต่างซูฮกยอมยกให้ ถึงขนาดว่าบางสำนัก (School) นั้น ใช้รูปเด็กเป็นโลโก้กันเลยทีเดียว แน่นอนว่าสิ่งนั้นย่อมมีต้นสายปลายเหตุที่ซับซ้อนแยบยลตามประสาปราชญ์...

สายความเชื่อหนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า ความเป็นพหูสูตรนั้นล้วนมีอยู่ในตัวเราทุกคนตั้งแต่ยัง ‘เด็ก’ วิธีคิดและการมองโลกแบบเด็กๆ บางครั้งผู้ใหญ่อย่างเราก็ไม่ควรมองข้ามและมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า มันช่างจำเป็นต่อการใช้ชีวิตบนโลกบูดๆ เบี้ยวๆ ใบนี้ยิ่งนัก...เคยสังเกตเห็นเด็กในหมู่บ้านทะเลาะกัน...เพียงชั่วข้ามคืน พวกเขากลับลืมเลือนเรื่องบาดหมางไปเสียสิ้น รุ่งขึ้นอีกวัน ก็เห็นมาวิ่งเล่นไล่กันอีกแล้ว...แต่เมื่อเราเติบใหญ่ขึ้น สิ่ง ‘ภายใน’ เหล่านี้ก็ค่อยๆ เลือนหายไป...‘ความเป็นเด็ก’ ในตัวเรา สูญเสียไปให้กับอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งกว่าที่เราจะตระหนักรู้นั้น อาจบางทีมันก็สายเกิน ไปเสียแล้ว...

Finding Nemo คือเรื่องเล่ามหัศจรรย์ของมาร์ลิน (ปลาการ์ตูนผู้พ่อ) ที่ออกตามหาลูกชาย (นีโม่) ซึ่งถูกจับตัวไปโดยหมอฟันนักประดาน้ำ การผจญภัยอันน่าพิศวงนี้ เกือบทั้งหมดเกิดขึ้นในโลกใต้ทะเลลึก เนื้อหนังเต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจ เริ่มตั้งแต่ซีนแรกซึ่งเปิดเรื่องโดยให้ผู้ประกาศข่าวทางโทรทัศน์ที่แสดงโดยคนจริงๆ สัมภาษณ์ตัวเอกของเรื่องทั้งสาม คือ มาร์ลิน, นีโม่ และโดรี่ (ปลา...ผู้เป็นโรคความจำสั้น) อีกทั้งมีการผูกเรื่องที่สนุกชวนติดตาม มีวิกฤตการณ์ให้ต้องแก้ไขเหมือนอย่างที่หนังการ์ตูนหลายๆ เรื่องเป็นกัน แต่สิ่งหนึ่งซึ่งต่างออกไปจากการ์ตูนแนวอภินิหาร-เทพนิยาย-เจ้าชายเจ้าหญิง แบบเดิมๆ จนสัมผัสได้ก็คือ “ความสมจริง”

และสิ่งเดียวกันนี้เอง ก็ปรากฏอยู่ใน Animation เรื่องอื่นๆ ที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน ตัวละครอ้วนตุ๊ต๊ะหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวตัวเขียวๆ ซึ่งห่างไกลจากภาพพจน์ของเจ้าชายรูปงามอย่าง Shrek (ค่าย DreamWorks SKG) ก็มิต่างจากปลาการ์ตูนอย่างมาร์ลิน ที่ยังคงลักษณะของปุถุชน (แบบปลาๆ) เอาไว้ นั่นคือยังคงมี รัก โลภ โกรธ หลง มีความกลัว ท้อแท้สิ้นหวัง กล้าหาญเมื่อถึงคราวจำเป็น (กระทั่งนีโม่เองก็เป็นปลาพิการ มีครีบข้างลำตัวขนาดไม่เท่ากัน-มีความพร่อง, ส่วนมาร์ลินก็เป็นโรคหวาดระแวง-Paranoid) ซึ่งกลายเป็นจุดเด่นของทีมผู้สร้าง ที่สามารถสอดแทรกบุคลิกของความเป็น “คนธรรมดาๆ” เอาไว้ในตัวละครที่สร้างสรรค์ขึ้นมาได้อย่างลงตัว ในแง่นี้ผู้ชมจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับหนังการ์ตูนไปโดยไม่รู้ตัว ตัวละครเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวาฬ ฉลาม ทูน่า เต่ากระ ฯลฯ จึงเสมือนหนึ่งมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ในฐานะที่ไม่ใช่ทั้งสัตว์และตัวการ์ตูน...

นอกจากความสมจริงแล้ว เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ซ่อนไว้ในรายละเอียดของหนังก็น่ารักไม่เบา ผมเองก็เพิ่งจะรู้จากการ์ตูนเรื่องนี้ ว่าปลาการ์ตูนจะวางไข่ครั้งละประมาณ 400 ฟอง (เห็นตัวเล็กๆ อย่างนั้นก็เถอะ) ‘อะเนโมนี’ เป็นชื่อของดอกไม้ทะเลสายพันธุ์หนึ่ง ที่ปลาการ์ตูนใช้อาศัยอยู่เป็นบ้าน...สิ่งสำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือสิ่งที่พ่อลูกคู่นี้ได้เรียนรู้จากกันและกันระหว่างการผจญภัย ซึ่ง “บอกอะไร” กับผู้ใหญ่ตัวโตๆ อย่างเราได้มากมายนัก แต่ในเงื่อนไขที่ว่าหัวใจของเราต้องนิ่งและละเอียดอ่อนเพียงพอ...

ลองออกจากบ้านไปเช่า Finding Nemo มาดู คุณอาจจะแปลกใจ ที่ปลาการ์ตูนในหนังการ์ตูนสามารถสอนอะไรที่มันไม่ ‘การ์ตูน’ ให้กับเราได้บ้าง แล้วคุณจะรู้ว่าบางครั้งการ ‘ปลุก’ ให้เด็กน้อยในตัวเราผู้กำลังหลับใหล ได้ออกมาวิ่งเล่นเพ่นพล่านเสียบ้าง ก็เป็นเรื่องที่สนุกดีไม่หยอก.

..........................................

(ภาพ : Anonymous ที่มา : http://www.nemotour.com/photo/nemo300.gif)

All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

บทกวี : หอยทาก

บทกวี “หอยทาก”

ฉัน...
สนทนากับตัวเอง
หอยทาก...
กำลังคืบคลานบนใบมีดโกน

...........................

(ภาพ : Anonymous ที่มา : http://photos.viczhang.com/images/20050430111119_20050430-snail-900x600.jpg)



All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

เรื่องสั้น : รักลอยลม...

รักลอยลม

“Seize the Day
จงฉกฉวยเอาวันเวลาไว้”
Carpe Diem


เป็นครั้งที่ห้าแล้วนะของคืนนี้ ที่ผมลุกจากเตียงขึ้นมาทำอะไรงี่เง่าๆ ซ้ำซากวนเวียนอยู่อย่างนี้ เริ่มจากเดินวนไปวนมาเหมือนหนูติดจั่น ดื่มน้ำ จุดบุหรี่สูบ เดินวนไปวนมาอีก เข้าห้องน้ำ หยุดยืนที่หน้ากระจก จ้องมองภาพผู้ชายในนั้น เราสบตากัน ผมจ้องหน้ามัน มันจ้องหน้าผม ให้ตายเถอะ ! ผมโคตรเกลียดขี้หน้ามันเลย อยากจะซัดปากมันสักเปรี้ยง ให้มันสาสมกับความโง่ ความซื่อบื้อ ปัญญาอ่อนของมัน เผื่อว่าจะฉลาดขึ้นมาบ้าง…โธ่ ไอ้ควายเอ๊ย ! ทำไมมึงถึงได้โง่ โง่ โง่ โง่ โง่อย่างนี้ ทำผิดซ้ำผิดซากอยู่นั่นแหละ ทำไมไม่รู้จักจำ...ผมแหกปากตะโกนด่าตัวเองอยู่ในใจ


ใช่...ผมนอนไม่หลับ คุณเองก็คงเคยนอนไม่หลับใช่ไหม แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเหมือนกับผมหรือเปล่า จริงๆ แล้วอาการนอนไม่หลับก็ห่างหายจากผมไปนานเป็นปีแล้ว เมื่อก่อนนี้ผมเคยมีปัญหามากกับการนอน ตอนแรกผมแก้ด้วยการดื่มเหล้าเพียวแก้วเล็กๆ ก่อนเข้านอน ก็ได้ผลดีอยู่หรอก แต่พอนานไปแก้วเดียวชักเอาไม่อยู่ ต้องเพิ่มเป็นสองแล้วก็สาม ผมชักหวั่นใจว่านอกจากจะไม่หายจากโรคนอนไม่หลับแล้ว กลับจะกลายเป็นแอลกอฮอลิซึ่มแทนจึงตัดสินใจไปหาหมอ เขาให้ยานอนหลับผมมากิน หนักข้อเข้าผมก็ซื้อกินเอง เริ่มจากครึ่งเม็ด เป็นหนึ่งเม็ด เป็นเม็ดครึ่ง เป็นสองเม็ด ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าติดยานอนหลับและมันจะไม่หยุดอยู่ที่สองเม็ดเป็นแน่ ผมจึงหักดิบ หยุดมันหมดทุกอย่างทั้งเหล้าและยา เป็นไงเป็นกัน ถ้ามันจะไม่หลับผมก็จะไม่นอน…สองคืนเต็มๆ ที่ผมไม่ได้นอน พอเข้าคืนที่สามก็หลับเป็นตาย แล้วจู่ๆ ผมก็หายจากโรคนอนไม่หลับโดยไม่รู้ตัว…

วันนี้โรคเก่ากำเริบ มันกลับมาหาผมอีกครั้ง...อาการนอนไม่หลับ เมื่อคืนผมปิดไฟนอนตั้งแต่สี่ทุ่มกว่า ตอนนี้อีกสิบห้านาทีก็จะตีห้าแล้ว แว่วเสียงไก่บ้านข้างๆ ขันต่อกันเป็นจังหวะ แต่ผมก็ยังคงเดินหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่อย่างนี้ ผมกำลังมีปัญหากับตัวเอง อยากจะหลับตาวิ่งเอาหัวชนกำแพงให้มันรู้แล้วรู้รอดไป คือผมไม่พอใจในตัวเองน่ะ ผมไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองกระทำ ไม่ใช่สิ ผมไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้กระทำต่างหาก...คือเรื่องมันมีอยู่ว่า...เอ่อ...คุณเคยหลงรักคนที่คุณไม่เคยรู้จักบ้างไหม อาจเป็นคนที่คุณพบบ่อยๆ ที่ป้ายรถเมล์ คนที่เดินสวนกันบนท้องถนน บนสะพานลอย บนสถานีรถไฟฟ้า หรือในห้างสรรพสินค้า...

ชั่ววินาทีที่คุณเดินสวนกัน เสี้ยววินาทีที่คุณสบสายตากับเขาหรือเธอคนนั้น แต่มันจะยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของคุณไปอีกนานแสนนาน ชั่วขณะนั้นคุณรู้สึกเหมือนกับว่า เคยรู้จักกันมาก่อน ที่ไหนสักแห่ง อาจเป็นงานแต่งงาน งานเลี้ยงรุ่น งานวันเกิดเพื่อน คุณพยายามนึกแต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ก็ยิ่งนึกไม่ออก เพราะจริงๆ แล้วคุณอาจไม่เคยพบกันมาก่อน คุณอุปาทานไปเอง...แต่ไม่นะ คุณรู้สึกได้ รู้สึกจริงๆ ว่าเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน คุณเถียงกับตัวเอง คุณอยากเดินตามเขาไปแล้วสะกิดเขาเพื่อถามถึงคำตอบที่คุณไม่อาจให้กับตัวเองได้ แต่ลึกๆ แล้วคุณไม่ได้สนใจอยากรู้คำตอบนักหรอก คุณอยากจะพูดคุยกับเขา อยากจะรู้จักเขามากกว่า แต่คุณก็ได้แค่คิด...คุณไม่ได้ทำ คุณไม่กล้าพอ กลัวว่าเขาจะมองคุณแปลกๆ คุณอาย...หรือกว่าที่คุณจะรวบรวมความกล้าได้ เขาหรือเธอคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว และคุณรู้ดีว่าโอกาสครั้งที่สองอาจไม่เกิดขึ้นอีกเลย...ชั่วเวลาสั้นๆ นั้น ช่างเป็นภาวะที่ไร้ระเบียบทางความคิดและอารมณ์สิ้นดี ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย มีแต่อารมณ์และความรู้สึกล้วนๆ แต่คุณก็รู้สึกดีและไม่เคยต้องการหาเหตุผลหรือคำอธิบายใดๆ...

คุณเคยหลงรักคนที่คุณไม่เคยรู้จักบ้างไหม...ถ้าเคย คุณคงเข้าใจ แต่ถ้าไม่เคยผมก็ขอภาวนาอย่าให้มันเกิดขึ้นกับคุณเลย จะได้ไม่ต้องมาเป็นเหมือนอย่างผมในตอนนี้...โอ้ ! ให้ตายเถอะพระแม่เจ้า มันช่างเป็นความรู้สึกที่ทุกข์ทรมานเหลือเกิน เหมือนถูกจับมัดมือไขว้หลัง แล้วถีบตกน้ำ ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะช่วยเหลือตัวเอง ค่อยๆ จมลงไปเรื่อยๆ รอบข้างมีแต่ความมืดมิด กลัว กำลังจะขาดอากาศหายใจ สำลักน้ำ มันค่อยๆ ไหลผ่านรูจมูกเข้าไปท่วมปอดทีละนิด สติสัมปชัญญะกำลังจะหลุดลอยไป พร่าเลือน ค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ... เหตุการณ์เมื่อบ่ายวานนี้ทำให้ผมหวนนึกไปถึงอดีตในวัยเยาว์ของตนเองเมื่อสิบกว่าปีก่อน...ภาพความหลังในโลกของความเป็นจริงผุดพรายขึ้นมาในห้วงคำนึง ความทรงจำเก่าๆ ถูกรื้อค้นขึ้นมาทีละฉากตอน ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานมากแล้ว แต่ผมก็ยังจำมันได้ดีเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง...ความรักครั้งแรกของผม...

ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตของผมเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง ผมย้ายบ้านใหม่ ย้ายโรงเรียนใหม่ จากเด็กที่เคยอยู่โรงเรียนประจำมาตลอดระยะเวลาแปดปีกว่า โรงเรียนที่มีแต่ผู้ชายล้วน กลับบ้านเดือนละสองครั้งๆ ละสองวัน ย้ายมาอยู่โรงเรียนไปกลับที่เป็นสหศึกษา มีทั้งนักเรียนชายและหญิง ต้องนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนเองทุกวัน มันเหมือนผมย้ายไปอยู่โลกใบใหม่ที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว สำหรับคุณแล้วอาจจะเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สำหรับผม นั่นคือการผจญภัยครั้งใหญ่เชียวแหละ นึกแล้วยังอดขำตัวเองไม่ได้ คุณเชื่อไหมวันแรกๆ อย่าว่าแต่พูดคุยเลย แค่มองหน้าเพื่อนร่วมห้องที่เป็นผู้หญิง ผมก็ยังไม่กล้า มันเกร็งๆ เขินๆ อย่างไรบอกไม่ถูก นานพอสมควรกว่าที่ผมจะปรับตัวเข้าร่วมกับกลุ่มอ้างอิงทางสังคมกลุ่มใหม่ที่มีเพื่อนต่างเพศได้ นาทีนั้นพวกเธอเปรียบเสมือนมนุษย์ต่างดาวสำหรับผม เพิ่งมารู้ทีหลังว่าพวกเธอเองก็จับกลุ่มนินทาแอบขำท่าทางเก้ๆ กังๆ และพฤติกรรมประหลาดของผมอยู่เหมือนกัน

บ้านที่ผมย้ายเข้าไปอยู่ใหม่อยู่แถวสี่แยกเกียกกาย เกือบถึงเตาปูนนู่นแน่ะ ส่วนโรงเรียนใหม่อยู่แถวพระโขนง คนละซีกโลกกันเลยล่ะ ผมต้องนั่งรถเมล์ถึงสามคันกว่าจะถึงโรงเรียน ผมจึงต้องตื่นแต่เช้า นั่งรถจากเกียกกายมาลงที่เทเวศร์ ต่อรถจากเทเวศร์ไปลงที่หน้าสยามสแควร์ และอีกคันจากสยามสแควร์ไปลงที่หน้าโรงเรียน ดูลำบากและซับซ้อนเพราะต้องนั่งรถหลายต่อ แต่ผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น ตรงกันข้ามผมชอบนั่งรถเมล์ด้วยซ้ำไป อาจเป็นเพราะผมไม่เคยนั่งมาก่อนก็ได้เลยยังตื่นตาตื่นใจและรู้สึกสนุกอยู่ ผมชอบบรรยากาศบนรถและบริเวณป้ายรถเมล์ ผมว่ามันมีสีสันมีชีวิตชีวา ผู้คนดูเร่งรีบ ถ้าคุณลองมองเข้าไปในแววตาของพวกเขา คุณจะเห็นความมุ่งมั่นสะท้อนออกมา เหมือนพวกเขาจะรู้ชัดถึงจุดหมายที่แน่นอนในจิตใจ อย่างน้อยที่สุดชั่วขณะนั้นทุกคนก็รู้ล่ะน่าว่าตัวเองกำลังจะไปที่ไหนและรอรถสายอะไรอยู่...

คุณเคยไปตลาดสดตอนเช้าๆ ไหมล่ะ พื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ อาจเป็นน้ำจากแผงขายเนื้อสัตว์หรือน้ำที่แม่ค้าประพรมลงบนผักเพื่อให้ดูสดใหม่อยู่เสมอ เวลาก้าวเดินให้ความรู้สึกเหนอะหนะเฉอะแฉะ บางคนใช้มือถกขากางเกงให้สูงขึ้นเพื่อไม่ให้เลอะน้ำสกปรกที่ดีดตัวจากใต้พื้นรองเท้าแตะ เสียงพูดคุยต่อรองราคา ตะโกนแซวกันของพ่อค้าแม่ขายหรือบางทีก็ด่ากัน เสียงเอะอะโวยวายขอทางของเด็กเข็นผัก...นั่นแหละสีสัน ความมีชีวิตชีวา มันไม่เหมือนกันเสียทีเดียวหรอกกับบรรยากาศบนรถหรือที่ป้ายรถเมล์ แต่มันมีบางอย่างที่คล้ายกัน…เวลายืนรอรถเมล์หรือนั่งอยู่บนรถ ผมมักจะชอบมองไปรอบๆ ข้าง เฝ้าดูผู้คน สังเกตพฤติกรรม กิริยาท่าทาง คนๆ หนึ่งช่างมีรายละเอียดซับซ้อนมากมายเหลือเกิน และแต่ละคนก็ล้วนแตกต่างกัน ในโลกนี้ย่อมไม่มีคุณคนที่สองหรือผมคนที่สองเป็นแน่ กระทั่งคนที่เหมือนกันมากๆ อย่างคู่แฝดยังมีความแตกต่างกัน อาจเป็นอวัยวะบางส่วนหรือนิสัยใจคอก็ตาม…การสังเกตผู้คนจึงเป็นความสุขอย่างหนึ่งของผม และก็เพราะไอ้สิ่งนี้นั่นแหละ ที่ทำให้ผมได้ตกหลุมรักเป็นครั้งแรก รักคนที่ผมไม่เคยรู้จัก กระทั่งชื่อเธอผมยังไม่รู้เลย...

มันเป็นยามเช้าที่อากาศดีเป็นพิเศษ ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆหมอก ผมตื่นแต่เช้าและรีบออกจากบ้านเร็วกว่าปกติ เพื่อนนัดให้ผมไปซ้อมบอลเพื่อเตรียมแข่งกีฬาสีที่จะมีขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า โดยเฉลี่ยแล้วผมจะมาต่อรถที่หน้าสยามสแควร์ราวๆ เจ็ดโมงครึ่งของทุกวัน แต่วันนั้นผมมาถึงตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงดี ออกจะเร็วไปนิด ...ถ้าผมขึ้นรถตอนนี้ไม่เกินสิบห้านาทีก็คงจะถึงโรงเรียน เช้าๆ อย่างนี้รถยังไม่ติดเท่าไหร่หรอก ผมรู้ดี ถ้าไปถึงก่อนก็คงต้องไปนั่งรอเพื่อนๆ อีก อย่าเพิ่งไปเลย นั่งเล่นอยู่แถวนี้สักพักดีกว่าแล้วค่อยไป ผมตัดสินใจนั่งตรงบันไดทางขึ้นห้างสยามเซ็นเตอร์ ที่ป้ายรถมีคนยืนอออยู่มากแล้ว นั่งตรงนี้สบายกว่ากันเยอะ ผมทำเหมือนที่เคยทำอยู่ทุกวัน สังเกตผู้คน เฝ้าดูจังหวะหายใจของเมืองใหญ่ รถเมล์วิ่งผ่านไปหลายคันแล้ว สาย 16 ปอ.1 ปอ.8 ฯลฯ

เวลาที่รถวิ่งเข้าป้ายเพื่อจอดรับ- ส่งผู้โดยสาร ผมมักจะกวาดสายตามองไปทั่วทั้งคันรถ สังเกตสีหน้าท่าทางของผู้คน ตอนนี้รถเว้นระยะไปนานแล้ว ผมสงสัยเลยหันไปดูจึงเห็นว่ากำลังติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกข้างๆ นั่น...วิ่งมาแล้วคันนึง ปอ.8 รถหยุดแล้ว ผมมอง...ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นเธอเป็นครั้งแรก ที่นั่งด้านหลังของตัวรถ ริมซ้าย ติดกระจก...ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนั้นให้คุณเข้าใจได้ยังไง คุณเคยได้ยินคำว่า A Perfect Moment ไหม ช่วงเวลาแห่งความสมบูรณ์แบบ นาทีที่จะประทับอยู่ในความทรงจำของคุณไปตลอดชีวิต นั่นแหละใช่เลย ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ตกตะลึงจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น การได้เห็นหน้าเธอแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผู้ชายอายุสิบห้าอย่างผมแปรปรวนไปหมด ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นผมลืมหายใจหรือเปล่า ผมอยากจะบอกคุณเหมือนกันว่าเธอสวยหยาดฟ้ามาดินดั่งหล่นมาจากฟากฟ้า แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง ร่างเล็กเพรียวบาง ไม่ใช่ผมยาวเลยหัวไหล่ จมูกรั้น หรือริมฝีปากบางและเชิดหรอกที่สะกดผมไว้ แววตาอ่อนโยนดูเศร้าเล็กน้อยคู่นั้นต่างหาก... รถวิ่งออกไปแล้ว ผมรีบยกข้อมือขึ้นดูเวลา เจ็ดโมงสิบห้านาที…

การต้องตื่นแต่เช้าขึ้นกว่าเดิมเพื่อมาดักรอเธอ กลายเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งของผมทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ทุกคนแปลกใจเพราะคิดว่าผมขยันเรียน ผมได้แต่แอบยิ้มนึกขำอยู่ในใจ...เจ็ดโมงตรง ผมจะมานั่งรอดูเธอตรงที่เดิม ถัดจากนั้นอีกไม่เกินสิบห้านาที รถปอ.8 ก็จะวิ่งมาจอดที่เดิม เธอนั่งอยู่บนนั้นตรงที่เดิม ด้วยอากัปกริยาเดิมๆ ที่ผมมองเพลินไม่รู้เบื่อ ชั่วขณะนั้นไม่ว่าจะผู้คนบนท้องถนนหรือทิวทัศน์รอบข้าง ไม่มีอะไรน่ามองเท่าเธอ สายตาผมจับอยู่ที่เธอคนเดียว ถ้าวันไหนเธอไม่มาหรือผมไม่ได้เห็นหน้าเธอ วันนั้นผมแทบจะไม่อยากทำอะไรเลย ไม่มีสมาธิจะเรียน ไม่มีอารมณ์จะเตะบอลกับเพื่อนๆ เหมือนอย่างทุกวัน เธอสอนให้ผมได้รู้ว่า การรอคอยก็เป็นความสุขประการหนึ่ง…

ผมแอบมองเธออยู่อย่างนั้นเกือบเดือน มีอยู่วันหนึ่งเธอคงรู้สึกตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคน เธอมองมาที่ผมและส่งยิ้มให้ ผมดีใจจนบอกไม่ถูก วันนั้นเป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของผม ผมบอกตัวเองว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง...สองวันต่อมา ผมตัดสินใจก้าวขึ้นรถคันที่มีเธอ เก้าอี้ฝั่งซ้ายด้านหลังตัวก่อนสุดท้าย คือที่ประจำของเธอ ส่วนผมเลือกที่นั่งฝั่งขวาเยื้องๆ กันกับของเธอ ผมยังคงแอบชำเลืองมองเธออยู่ตลอดทาง...อาทิตย์ถัดมา ผมตัดสินใจเดินไปนั่งที่เบาะยาวตัวหลังสุด ที่นั่งด้านหลังเธอ คราวนี้เราอยู่ใกล้กันมาก ขนาดผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูจากเส้นผมของเธอ ผมอยากจะพูดอยากจะชวนเธอคุยแทบตาย แต่ก็ไม่กล้าพอ วันต่อมาผมเขียนข้อความสั้นๆ ลงบนกระดาษโน้ต แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่กล้ายื่นให้เธอ...เอาเถอะน่า ขอเวลารวบรวมความกล้าอีกสักสามสี่วัน อาทิตย์หน้าจะต้องเข้าไปคุยกับเธอให้ได้ ผมบอกตัวเองอย่างนั้น ก็ไอ้นิสัยที่ชอบผัดวันประกันพรุ่งนี่แหละ ที่ทำให้ผมต้องมานั่งเสียใจอยู่จนทุกวันนี้ ดีแต่คิดแต่ไม่ยอมลงมือทำ...คุณรู้ไหม นั่นกลับเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้เห็นหน้าเธอ...

ผมไม่เคยพบเธออีกเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเธอหายหน้าไปไหน เธออาจจะย้ายที่เรียนหรือว่ามีใครขับรถไปส่งเธอที่โรงเรียนก็เป็นได้ ผมลองเปลี่ยนเวลาที่มาดักรอเธอเผื่อว่าเธอจะมาเช้าหรือมาสายกว่าเดิม ผมเคยนั่งรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ตั้งแต่หกโมงถึงเก้าโมง แต่ก็ไร้วี่แววของเธอ... หนึ่งเดือนผ่านไป ผมจึงหมดความพยายาม ตอนนั้นผมเข้าใจลึกซึ้งเลย...ถึงความรู้สึกที่ว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับมันเป็นยังไง...ยิ่งคิดผมก็ยิ่งโกรธแค้นตัวเอง ผมมีโอกาสแต่ผมกลับปล่อยให้มันหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา ผมมัวแต่รีรอ ไม่รู้ว่าจะรออะไร รอทำไม นี่ถ้าผมสามารถย้อนเวลากลับได้ ผมจะไม่รออีกต่อไป ผมจะเดินเข้าไปคุยกับเธอเสียตั้งแต่วันแรก แต่ผมก็ทำได้แค่หมุนเข็มนาฬิกา ไม่มีใครสามารถย้อนอดีตกลับไปแก้ไขความผิดพลาดได้ เวลาและสายน้ำไม่เคยคอยใคร มันไม่มีทางไหลย้อนกลับคืนมาได้...ในวันนั้นผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในชีวิตของผมอีกเป็นครั้งที่สอง...

หลายปีผ่านไป ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น สิ่งที่หนังพยายามจะบอกมันตอกย้ำถึงจุดบอดในใจผม สิ่งที่พระเอกในเรื่องทำคือสิ่งที่ผมอยากแต่ไม่ได้ทำ...หนังเรื่องนั้นชื่อ “Before Sun Rise” เป็นเรื่องราวการพบรักของหนุ่มอเมริกันกับสาวฝรั่งเศสบนรถไฟ พระเอกเพิ่งผิดหวังจากความรักจึงเดินทางมาเที่ยวเพื่อรักษาแผลใจ ส่วนนางเอกกำลังเดินทางไปทำธุระที่ต่างจังหวัด ทั้งคู่ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน เมื่อพระเอกเห็นนางเอกก็รู้สึกถูกชะตา พอรถไฟวิ่งไปหยุดอยู่ที่สถานีที่เขาจะต้องลง ก่อนจะลงจากรถเขาตัดสินใจเดินเข้าไปคุยกับเธอ ประเด็นสำคัญของเรื่องก็อยู่ตรงฉากนี้นั่นแหละ เขาบอกกับเธอว่าเขาขอโทษที่เข้ามาคุยด้วย เธออย่าเพิ่งตกใจหรือคิดว่าเขาบ้านะ ที่จู่ๆ ก็เดินเข้ามาคุยทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาแค่อยากจะทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลังถ้าเขาไม่ได้ทำ...นั่นก็คือการเดินเข้ามาคุยกับเธอ เขารู้ดีว่าจะต้องโกรธตัวเองแน่ ถ้าเดินลงจากรถไปโดยที่ไม่ได้เข้ามาคุยกับเธอเสียก่อน ตอนแรกเธอก็ทำหน้างงๆ แต่พอฟังจบเธอก็เข้าใจ เขาชวนเธอลงเที่ยวด้วยกันที่เมืองนี้ เธอลังเลแต่สุดท้ายก็ยอมเป็นไกด์ให้กับเขา ทั้งคู่ใช้เวลาเที่ยวอยู่ด้วยกันทั้งวัน ตอนเช้าเขามาส่งเธอขึ้นรถที่สถานี ก่อนจากกันทั้งคู่สัญญาว่านับจากวันนี้ไปอีกหนึ่งปี พวกเขาจะกลับมาพบกันที่สถานีรถไฟแห่งนี้... เป็นหนังที่อบอุ่นมาก เมื่อดูจบแล้วผมบอกกับตัวเองว่าจะไม่รีรออีกต่อไป ผมสัญญากับตัวเองอีกครั้งว่าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นในชีวิตของผมอีกเป็นครั้งที่สอง...แต่แล้วผมก็พลาดอีกจนได้

เมื่อวานนี้ ผมกับพ่อไปเดินซื้อของด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เราใช้เวลาอยู่ในซูเปอร์มาเกตราวครึ่งชั่วโมง หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้ว ผมก็หิ้วถุงเดินตามหลังพ่อขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสอง พ่อจะไปรับกางเกงที่ซื้อแล้วสั่งให้เขาตัดขาไว้ ขณะที่กำลังยืนรออยู่บนบันไดเลื่อนนั่นเอง อีกฟากนึงบันไดกำลังเลื่อนลง มีคนยืนอยู่บนนั้นราว 7-8 คน ผมกวาดสายตามองผ่านๆ ไป แต่ทันใดนั้นผมก็ต้องตกตะลึงสุดขีด...เธอนั่นเอง ! สาวบนรถปอ.8 คนนั้น ถึงเวลาจะผ่านเลยมากว่าสิบปีแล้วก็ตาม ผมก็ยังจำเธอได้ในทันทีที่เห็นแวบแรก เธอดูเป็นสาวขึ้นแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักเท่าไหร่เลย ผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ปาฏิหารย์มีจริง เธอยืนอยู่ตรงนั้นห่างจากผมแค่เอื้อม เธอมองมาแต่คงจำผมไม่ได้ ผมเสไปมองทางอื่นแล้วหันกลับไปจ้องเธอใหม่ เห็นแต่ด้านหลัง ใจผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ รู้สึกร้อนวูบที่ใบหู ผมทำอะไรไม่ถูก ขาผมก้าวเดินตามพ่อไปจนถึงแผนกเสื้อผ้า แต่ใจผมมันลอยตามเธอไปนานแล้ว ผมตัดสินใจวางของลงบอกพ่อว่าเดี๋ยวมา แล้วหันหลังวิ่งฝ่าฝูงคนตรงไปยังบันไดเลื่อน ลงไปถึงชั้นล่าง ผมสอดส่ายสายตามองหาเธอเลิ่กลั่กแต่ก็ไม่เห็นแม้เงา หรือเธอจะเข้าไปซื้อของในซูเปอร์มาเกต ผมวิ่งวุ่นตามหาเธอจนทั่วทั้งซูเปอร์ฯ แต่ก็ไม่พบ ผมเดินออกมาตามหาเธอจนทั่วทั้งบริเวณนั้นแต่ก็ไร้ร่องรอย...

เธอหายไปอีกแล้ว ผมคลาดจากเธออีกจนได้ นี่ถ้าผมไม่มัวแต่ลังเลอยู่ทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้ ผมหยุดยืนอยู่กลางห้าง ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นจนหลายคนหันมามอง ผมอยากจะเย้ยหยันในความโง่งี่เง่าของตัวเองนัก อยากจะทิ้งตัวลงนอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น...นาทีนั้นผมพาลโกรธไปหมดทุกอย่าง ผมโกรธที่ห้างฯ นี้มันใหญ่โตนัก ถ้ามันเล็กเท่าร้านขายของชำผมคงจะไม่คลาดกับเธออีก ผมโกรธผู้คนที่ยืนออกันอยู่บนบันไดเลื่อนทำให้ผมลงมาหาเธอช้า ผมโกรธทุกคนที่เดินอยู่ในห้างทำให้ผมมองหาเธอได้ยากขึ้น ผมโกรธตัวเองที่ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้...ผมโกรธ...ผมเกลียด...หึ หึ หึ...ทีนี้คุณคงรู้แล้วสินะ ว่าทำไมผมถึงได้อยากชกหน้าตัวเองนัก...

คุณเคยหลงรักคนที่คุณไม่เคยรู้จักบ้างไหม

ถ้าเคย คุณคงเข้าใจ.

.....................................................................................

(ภาพ : SIRI OM SINGH ที่มา : http://www.jerseyarts.com/gallery/exhibits/singh/images/angry_man_II.jpg)
All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

ความเรียงเกี่ยวกับภาพยนตร์ : Mysterious Skin

Mysterious Skin, มนุษย์ต่างดาว-ปมวัยเด็ก-ความทรงจำที่สาบสูญ

หากมีใครถามว่า Mysterious Skin เป็นหนังยังไง ผมคงตอบไปสั้นๆ ก่อนอย่างไม่ลังเลว่า “เป็นหนังเกย์” ทั้งนี้เพื่อเป็นการหยั่งเชิงว่าผู้ถามจะสนใจใคร่รู้แค่ไหน เพราะไม่ใช่ทุกคนในโลกที่พร้อมจะดูหนังทุกประเภท ภายใต้เงื่อนไขเดียวที่ว่าต้องเป็นหนังดีและ “มีอะไร”
บางอย่าง...หลายคนเมื่อได้ยินคำว่า “เกย์” ก็หมดคำถามในพลัน บางคนเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยถามต่ออีกนิดอย่างพอเป็นพิธี น้อยคนนักที่ยังคงซักไซร้ไล่เรียงถามต่อถึงเรื่องราวและความน่าสนใจของมัน...

แต่ไม่ว่าจะเป็นความเงียบระหว่างบทสนทนาในรูปแบบใดก็ตาม มันชวนให้ตีความไปได้ไม่มากมายนัก บางคนอาจไม่ได้มีอคติอะไรกับเพศที่สาม หากแต่ยังไม่พร้อมขนาดจะเปิดรับได้ทุกซอกมุม หรือเหตุผลง่ายๆ ที่สุด อาจเพียงแค่ไม่ได้อยู่ในความสนใจ...ก็เท่านั้น แต่กับอีกหลายคนอย่าว่าแต่จะดูหนังเกย์เลย เอาแค่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ร่วมกับบุคคลที่มีรสนิยมทางเพศแตกต่างจากตน แค่นั้นพวกเขาก็ยากจะทำใจยอมรับได้แล้ว นั่นเป็นเพราะพวกเขาอาจยังไม่เข้าใจว่า เกย์หรือเลสเบี้ยนไม่ได้แตกต่างอะไรจากผู้ชายหรือผู้หญิง เส้นบางๆ เส้นเดียวที่คั่นเราออกจากกัน ก็คือรสนิยมทางเพศแค่นั้นเอง...

คำถามที่ตามมาคือ พวกเขาผิดด้วยหรือ...สำหรับผมแล้วพวกเขาไม่ผิดหรอกครับ พอๆ กับคนที่ชอบในเพศรสเดียวกันก็ไม่ได้ผิด เพราะจะอย่างไรพวกเราก็ล้วนแต่เป็น “ผู้ถูกกระทำ” ด้วยกันทั้งนั้น

ย้อนไปตั้งแต่จุดกำเนิดของชีวิต เอาเข้าจริงแล้วมีใครเคย “เลือก” ได้บ้างไหมครับ เลือกที่จะเกิดหรือไม่เกิด เลือกที่จะมีเพศใด มีรสนิยมอย่างใด มีทัศนคติ มีชุดความคิดความเชื่อแบบใด...ในเมื่อเด็กเกิดมาก็ไม่ต่างไปจากเฟรมผ้าใบสีขาวรอเวลาให้ศิลปินใหญ่มาป้ายปาดฝีแปรง...เราทุกคนจึงล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ ต่างกันตรงที่ว่าเราถูกกระทำจากอะไร โดยใคร เมื่อไหร่ ที่ไหน และอย่างไร...เราอาจถูกสั่งสมขัดเกลาป้อนชุดข้อมูลมากมายมหาศาลที่เราไม่เคยมีโอกาสได้เลือก จากครอบครัว คนรอบข้าง หรือจากสังคม ค่านิยมที่ฝังอยู่ในหัวบอกเราว่าต้องสอบเอ็นท์ฯ ให้ติดจะได้เป็นคนเก่ง-เป็นคนดี-มีอนาคตไกล-ทำให้พ่อแม่ภูมิใจ เราจึงท่องตำรับตำราเป็นบ้าเป็นหลัง เพียงเพื่อจะค้นพบในอีกสิบปีถัดมาว่า ปริญญาไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต...ใช่ครับ...คุณก็เป็นเหยื่อ ผมก็เป็นเหยื่อ นีล แม็คคอร์มิก ก็เช่นกัน...

ความมืดหม่นที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในหัวใจ ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านนีล แม็คคอร์มิก เด็กน้อยวัยแปดขวบผู้เหว่ว้าขาดอ้อมอกอุ่นๆ ของพ่อ และใช้ชีวิตอยู่กับแม่ที่โหยหาความรักครั้งใหม่เพียงลำพัง วันหนึ่งเมื่อแม่ส่งเขาเข้าทีมเบสบอลประจำเมืองได้ไม่นาน เขาก็ติดหนึบเข้ากับโค้ชหนุ่มหล่อใจดีอย่างแยกไม่ออก ทุกอย่างคงจะราบรื่น ถ้าหากเพียงแต่ว่าไอ้โค้ชคนนั้นจะไม่ใช่พวกโรคจิตที่ชอบเด็ก...ความเจ็บปวดที่ถูกกลบฝังไว้ใต้ความทรงจำอันลางเลือน ถูกถ่ายทอดผ่านไบรอัน แล็กคีย์ ชายหนุ่มอายุสิบแปดปีผู้เชื่ออย่างฝังหัวว่า เมื่อตอนอายุแปดขวบเขาเคยถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไปเพื่อทำการทดลอง ด้วยเหตุนี้ความทรงจำในวัยเด็กของเขาจึงหายไป 5 ชั่วโมงอย่างไร้ร่องรอย เขาจึงโตมากับการหมกมุ่นค้นคว้าหาคำตอบที่ว่า ช่วงเวลา 5 ชั่วโมงที่หายไปนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเขา...

Mysterious Skin ถือเป็นการปฏิวัติรูปแบบการทำงานของเกรก อารากิ ราชาแห่งหนังเกย์สมัยใหม่(New Queer Cinema) และผู้กำกับหัวขบถของอเมริกา เจ้าของผลงานอันลือลั่นเมื่อหลายปีก่อนอย่าง “Doom Generation” เหตุที่หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนวนิยายของสกอตต์ เฮม แทนที่เขาจะเป็นผู้เขียนบทเองเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา และอาจเป็นด้วยปัจจัยนี้เองที่ทำให้เทคนิคการเล่าเรื่อง การผูก-คลายปมขัดแย้งของตัวละครดูมีชั้นเชิง มีสีสันน่าสนใจ และมีความเป็นฟิคชั่น(แต่สมจริง)อยู่สูง เนื้อหนังเต็มไปด้วยความเครียดและฉากสุดแรง อย่างตอนที่นีลถูกทารุณกรรมทางเพศด้วยความป่าเถื่อนของสัตว์นรก...แต่แปลกที่มันไม่ชวนให้ผมอยากกดปุ่ม stop เลยสักครั้ง อีกทั้งยังไม่เคยคิดสงสัยแม้แต่น้อยเลยว่า เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้เคยเกิดขึ้นจริงบ้างหรือไม่...ท่ามกลางโลกอันซับซ้อนและสับสนวุ่นวาย เราต่างต้องตกเป็นเหยื่อของอะไรสักอย่างหนึ่งด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าคุณเลือกจะเป็น “เหยื่อผู้รู้เท่าทัน” หรือไม่เท่านั้นเอง

ในตอนต้นผมลืมบอกคุณไปว่า Mysterious Skin “เป็นหนังเกย์” แต่ว่า...มันมีอะไรมากกว่านั้น.

................................................


(ภาพ :Anonymous ที่มา : http://thecia.com.au/reviews/m/images/mysterious-skin-2.jpg)

All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

บทกวี : Man on the moon...

Man on the Moon

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีชายคนหนึ่งกับเรือลำหนึ่ง
วันทั้งวันไม่ทำอะไร
เอาแต่ล่องเรือไป...ดั่งหลงใหลมหาสมุทร
ผจญพายุทะเลคลั่งกระหน่ำซ้ำซัด
สุดแผ่นน้ำจรดแผ่นดิน-ทวีปแล้วทวีปเล่า
เขายังคงล่องเรือ-เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า
หลายซุ่มเสียงหลากสำเนียง
ต่างเห็นพ้องกันว่า “เขาเป็นบ้าไปเสียแล้ว”

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ชายอีกคนหนึ่งกับแอ็ปเปิ้ลต้นหนึ่ง
วันทั้งวันไม่ทำอะไร
เอาแต่นั่งจดจ้อง...ดั่งคู่รักที่จากพราก
เพิ่งหวนคืนสู่อ้อมกอดของกันและกัน
แอ็ปเปิ้ลร่วงหล่นลง-ลูกแล้วลูกเล่า
เขายังคงเฝ้ามอง-ครั้งแล้วครั้งเล่า
หลายซุ่มเสียงหลากสำเนียง
ต่างเห็นพ้องกันว่า “เขาเป็นบ้าไปเสียแล้ว”

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ชายอีกคนหนึ่งกับการค้นคว้าหนึ่ง
วันทั้งวันไม่ทำอะไร
ตื่นแต่เช้า,แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบเดิมๆ
กับกิจวัตรเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยน...
บ้าน-ที่ทำงาน-ห้องสมุด-ห้องทดลอง
ห้องทดลอง-ห้องสมุด-ที่ทำงาน-บ้าน
หลายซุ่มเสียงหลากสำเนียง
ต่างเห็นพ้องกันว่า “เขาเป็นบ้าไปเสียแล้ว”

แต่แล้ววันหนึ่ง...เขาก็บอกกับเราว่า
โลกนั้นสัณฐานกลมเหมือนผลส้ม
*
แอ็ปเปิ้ลหล่นลงมาเพราะแรงดึงดูด*
และ E = mc²*

เปล่าหรอก...เขาไม่ได้บ้า
เรายังอยู่บนดาวเคราะห์สีฟ้า
แต่เขายืนคอยเราอยู่บนดวงจันทร์
ตั้งนานแล้ว...ตั้งนานแล้ว...ตั้งนานแล้ว...

......................................................


* คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกส ผู้มีความเชื่อว่าโลกกลม และพยายามใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตของเขา พิสูจน์ความเชื่อดังกล่าว
* เซอร์ไอแซค นิวตัน คือผู้ค้นพบกฎแรงดึงดูดของโลก
* ทฤษฎีสัมพัทธภาพ(สมการทางคณิตศาสตร์)ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คือ E=mc² (E คือพลังงาน, m คือมวล, c คือความเร็วของแสง) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามวลขนาดเล็กสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานมหาศาลได้

(ภาพ :Anonymous ที่มา : http://www-personal.umich.edu/~nquiring/images/big%20images/man%20in%20the%20moon%20copy.jpg)

All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

เรื่องสั้น : ตำนานสุดท้าย-ไอ้มดแดง

ตำนานสุดท้าย – ไอ้มดแดง

ภาพที่ปรากฏบนจอสี่เหลี่ยมเบื้องหน้า คือผู้สื่อข่าวสาวกำลังยืนถือไมค์รายงานข่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เบื้องหลังของเธอมีกลุ่มควันดำรูปดอกเห็ดขนาดมหึมาหนาทึบ ม้วนตัวรวมกันเป็นเกลียว พวยพุ่งออกจากเศษซากปรักหักพังของอาคารที่ครั้งหนึ่งเคยมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร เปลวไฟสีส้มแดงลามเลียไปทั่วบริเวณตัดสลับกับสีดำสนิทอย่างเด่นชัด กลุ่มควันที่ลอยตัวขึ้นสูงตัดกันอีกทีกับสีฟ้าเข้ม ของผืนฟ้าไร้เมฆหมอกยามสายของวันกลางฤดูร้อน เกิดเป็นความงามแปลกตาคล้ายภาพแอบสแตรค ที่ศิลปินจงใจป้ายปาดฝีแปรงวกไปวนมาอย่างไร้ความหมาย แล้วเบรคด้วยสีโทนตรงกันข้าม ภาพซีจีหรือคอมพิวเตอร์กราฟิกที่ขึ้นซ้อนทับอยู่บนหน้าจอบริเวณมุมล่างสุด บอกให้รู้ว่าตึกที่กำลังไหม้เกรียมอยู่ด้านหลังนั้นคืออาคารรัฐสภาของสยองประเทศ...

เสียงเจื้อยแจ้วของนักข่าวสาวให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อเช้านี้ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดประชุมสภาฯสมัยสามัญ ได้มีบุคคลนิรนามหรือตัวอะไรสักอย่าง ซึ่งถึงขณะนี้ยังไม่สามารถระบุที่มาแน่ชัด ได้ก่อเหตุระเบิดพลีชีพขึ้นกลางรัฐสภา สร้างความมึนงงให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ว่าเขาสามารถฝ่าด่านระบบรักษาความปลอดภัยอันแน่นหนารัดกุมเข้าไปได้อย่างไร แรงระเบิดดังกล่าวส่งผลให้นักการเมืองของสยองประเทศที่อยู่ในรัฐสภาขณะนั้นเสียชีวิตเกือบทั้งหมด นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยย์

“ฮะ ฮะ ฮะ…สมน้ำหน้าแม่ง !” ผมระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ

เสียงกระจอกข่าวสาวรายงานต่อว่า มีผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้เพียงรายเดียวคือ นายฉลิม บำรุงลูก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคความหวังดับ ซึ่งขณะนั้นกำลังเดินกลับเข้ามาในสภาฯ หลังจากออกไปทำธุระส่วนตัว จึงรอดจากแรงระเบิดมาได้อย่างหวุดหวิด นับเป็นการรอดตายเพราะปวดเยี่ยวแท้ ๆ

“ห่าเอ๊ย...ไอ้เหี้ยนี่เสือกรอดมาได้ยังไงวะ !” ผมสบถออกมาเต็มคำพร้อมขบกรามแน่นด้วยรู้สึกหงุดหงิดเหลือกำลัง

เธอหมายถึงนักการเมืองฝีปากกล้าขวัญใจแม่ค้าตลาดสด ผู้เป็นขุนพลคนสำคัญของฝ่ายรัฐบานยามต้องออกโรงประลองฝีปากปะทะคารมกับพรรคฝ่ายแค้น คนเดียวกันกับที่มีลูกชายอันธพาล ความประพฤติดีเยี่ยมเข้าข่ายลูกตัวอย่าง จนประชาชนคนไทยย์ต้องแซ่ซ้องสรรเสริญกันถ้วนหน้า แต่เจ้าของสถานบันเทิงยามค่ำคืนเกลียดเข้าไส้ ฐานที่ชอบหาเรื่องกระทืบคนในผับจนไม่มีใครอยากออกมาเที่ยว ทำให้พวกเขาขาดรายได้ไปบานตะไท

ภาพข่าวตัดไปที่คำให้การของ นายฉลิม บำรุงลูก ด้วยท่าทีสั่นงันงกเหมือนลูกนกตกน้ำทั้งที่ตัวไม่เปียก น่าจะเป็นเพราะกลัวจนสุดขีดมากกว่า

“ม...มัน...มัน…มีตาสีเขียวดวงโต...โตมาก...เขา...เขาตรงกลางสีแดงรูปดาวสามแฉก มัน...มันใส่เสื้อ...เสื้อเกราะ...สีแดง...มีรูปตัวเอสอยู่กลางหน้าอก…ระเบิดผูกติดอยู่ทั่วตัวมันเลย…น่ากลัวมาก...แล้วมัน...มันก็พุ่งตรงไปที่…ไปที่ลูกชายของผมทั้งสองคน…แล้ว…แล้วมันก็ระเบิดตูม…โฮ ๆ…น่ากลัวมาก…โฮ โฮ โฮ”

ช่างเป็นคำให้สัมภาษณ์ที่ทุเรศที่สุดตั้งแต่ผมเคยได้ยินมา นายฉลิมไม่หลงเหลือความกร่างกร้าว ในลีลาการตอบคำถามแบบยียวนกวนประสาท ตามฉบับนักการเมืองผู้ยโสโอหังอยู่อีกเลย มีเพียงชายแก่ผมเผ้ากระเซิงรุงรังในชุดสูทขาดวิ่นเปรอะฝุ่น น้ำตาไหลนองสองข้างแก้มจากลูกตาแดงก่ำ รอยน้ำมูกแห้งเกรอะกรังติดอยู่ตรงปลายจมูก ใจหนึ่งนึกสงสาร แต่อีกใจกลับคิดว่า ‘สมน้ำหน้าแม่ง มึงทำคนอื่นเขาไว้เยอะ’ กดปุ่มรีโมทคอนโทรลในมือเปลี่ยนไปช่องอื่น ก็มีแต่เบรคกิ้งนิวส์รายงานข่าวนี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ช่องเคเบิ้ลทีวี เหมือนตอนที่บินลาดินสั่งให้สมุนจี้เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกเวิลด์เทรดเมื่อปีค.ศ. 2001 ไม่มีผิด

แว่วเสียงนักข่าวของอีกช่องรายงาน ขณะผมกำลังเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดเหล้า “จนถึงขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการก่อวินาศกรรมในครั้งนี้”

“ฮะ ฮะ ฮะ กล่งกลุ่มอะไรที่ไหน มันจะมีได้ยังไงกัน” ผมรำพึงกับตัวเองก่อนกดปุ่มปิดรับสัญญาณภาพบนรีโมทคอนโทรล

ผมรินเหล้าใส่แก้วแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้ปลาสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดยี่สิบสี่นิ้ว ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องติดกับผนังที่ทาสีน้ำเงินเข้ม ภายในตู้มีปลาสอดโกลด์สไลด์ฝูงใหญ่ราวยี่สิบตัว ว่ายเกาะกลุ่มตามกันวนไปเวียนมา สีแสดบนลำตัวพวกมันตัดกันอย่างสวยงามกับสีน้ำเงินเข้มบนผนังที่เป็นฉากหลัง เป็นความจงใจที่ปล่อยให้กระจกด้านหลังตู้ปลาว่างไว้อย่างนั้นเอง ข้างซ้ายของตัวตู้ด้านใน บริเวณกึ่งกลางของความสูงเยื้องไปทางด้านหลัง ติดตั้งเครื่องปั๊มลมสำหรับผลิตออกซิเจนให้ปลาหายใจ แบบที่มีระบบบำบัดน้ำเสียในตัวเอาไว้เครื่องหนึ่ง ที่ฝั่งตรงกันข้ามเป็นหุ่นฟิกเกอร์แอคชันตอนแปลงร่างแล้วของ ‘เขา’ ทำจากซอฟท์ไวนิลสูงราวฟุตครึ่ง ในอัตราส่วน 1:8 ผมได้มาจากสะพานพุทธในราคาที่ไม่แพงนัก คนขายบอกว่าสามารถใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้อ่อนตัว แล้วดัดเขาให้ทำท่าทำทางเป็นแบบอื่นได้ แต่ผมก็ยังไม่เคยลองทำ ตั้งแต่ซื้อมาผมก็ล้างเขาให้สะอาด แล้วถ่วงด้วยตะกั่วที่ปลายเท้าเพื่อให้จมน้ำ จากนั้นก็หย่อนเขาไว้ที่มุมตู้ปลาด้านขวาเรื่อยมา

ผ่านมาสามเดือนกว่าแล้ว เขายังยืนอยู่ที่เดิม ด้วยท่าทางเดิม ๆ ที่ผมดูได้ไม่รู้เบื่อ...เขายืนหันหน้าตรงทำมุมสี่สิบห้าองศาให้กับเครื่องปั๊มลมฝั่งตรงข้าม แขนซ้ายยกขึ้นขนานกับพื้น กำนิ้วมือทั้งหมดยกเว้นนิ้วชี้กับนิ้วกลางที่ชี้ตรงไปข้างหน้า ส่วนแขนขวายกขึ้นงอข้อศอกทำมุมสี่สิบห้าองศา กำหมัดไว้เป็นรูปกำปั้น ดูเผิน ๆ จึงคล้ายกับเขากำลังยืนเผชิญหน้ากับผู้ร้ายฝ่ายอธรรม...ปีศาจเครื่องปั๊มน้ำที่มีอาวุธเป็นฟองอากาศก้อนกลมเล็ก ๆ นับร้อยนับพันที่พ่นออกมาไม่รู้จักหยุดหย่อน ท่วงท่าของเขาคล้ายกับจะบอกว่า “แกจงตายซะเถอะ เจ้าปีศาจร้าย” มีสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไป คือคราบตะไคร่น้ำที่จับอยู่บนใบหน้าและลำตัวของเขา เริ่มพอกตัวหนาขึ้นเรื่อย ๆ คงจะได้เวลาที่ผมควรหยิบเขาขึ้นมาทำความสะอาดเสียที

“ดื่มให้กับความสำเร็จในภารกิจครั้งนี้ ผมขอขอบคุณอย่างจริงใจในความเสียสละของคุณ…ที่เหลือไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะจัดการเอง” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นชูแล้วพูดอยู่คนเดียวหน้าตู้ปลา ก่อนกระดกเหล้ารวดเดียวหมด

ถ้าใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าผมบ้าเป็นแน่ แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้บ้า แล้วก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิด คิดว่าผมเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ระเบิดรัฐสภาอะไรนั่น ไม่ใช่เช่นกัน ผมเพียงแค่รู้จักคนที่ลงมือทำเท่านั้นเอง… คุณเข้าใจถูกแล้วล่ะ ก็ ‘เขา’ นั่นแหละ...แต่จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ใช่คนเดียวที่รู้จักเขาหรอก คุณเองก็อาจจะรู้จักเขาก็ได้ ถ้าคุณมีอายุอยู่ระหว่าง 25-30 ปี ใกล้เคียงกันกับผม แล้วถ้าตอนเด็ก ๆ คุณไม่ขี้เกียจที่จะตื่นแต่เช้าในวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อมานั่งเฝ้าหน้าจอทีวี ผมมั่นใจเลยว่าคุณต้องรู้จักเขาแน่นอน เป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อยที่ผมมีโอกาสได้เจอตัวจริงของเขา จะให้ไม่ตื่นเต้นได้ยังไง ก็ในเมื่อเขาเป็นฮีโร่เพียงหนึ่งเดียวที่ผมเทิดทูนบูชาเอาไว้ในใจตั้งแต่เด็ก…เหมือนฝันแต่จริง…แต่มันก็เป็นความจริงที่ช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน คือเรื่องทั้งหมดมันค่อนข้างจะซับซ้อนน่ะ ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นเล่าให้คุณฟังตรงไหนดี…คือเรื่องมันมีอยู่ว่า

เมื่อกลางดึกคืนหนึ่งของสองสัปดาห์ก่อน วันนั้นผมเพิ่งกลับจากงานศพของพ่อเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เราเรียนอยู่ห้องเดียวกันสมัยมัธยมปลาย พอกลับถึงบ้านผมก็เดินขึ้นไปบนดาดฟ้าซึ่งเปิดโล่งไร้หลังคาคลุม เป็นที่ ๆ ครอบครัวผมใช้สำหรับตากผ้า และก็เป็นที่ ๆ ผมมักจะหลบมานั่งสูบบุหรี่ ขบคิดอะไรคนเดียวยามที่มีเรื่องไม่สบายใจ บางครั้งทิวทัศน์ในที่สูงกับสายลมเย็น ๆ ที่มาปะทะผิวกาย ก็ช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง

วันนั้นก็เช่นกัน...ผมกลับจากงานศพ แต่สรรพสำเนียงของมันกลับยังฝังแน่นอยู่ในความรู้สึกเบื้องลึก เสียงกระซิกร่ำไห้ของผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ความอาลัยอาวรณ์และรอยน้ำตา ตั้งแต่รู้จักกันมาผมยังไม่เคยเห็นเพื่อนเศร้าโศกเสียใจเท่าวันนี้มาก่อนเลย จากคนที่เคยเข้มแข็ง เป็นผู้นำ มีอารมณ์ขัน ร่าเริงและแจ่มใสอยู่เสมอ กลับกลายเป็นคนอ่อนแอที่ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะประคองแก้วน้ำในมือไว้ไม่ให้ตกหล่น แววตาของเขาเปล่ากลวงไร้ความรู้สึก ผมไม่เห็นเขาร้องไห้ แต่รู้ดีว่าข้างในเขากำลังทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส… บางครั้งชีวิตก็ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย คนดี ๆ กลับต้องมาตายอย่างไร้เหตุผล คนเลว ๆ กลับได้ดิบได้ดีจนบางครั้งเราต้องอิจฉา…

คุณพ่อของเพื่อนผมคนนี้ แกเป็นตำรวจลับอยู่ฝ่ายปราบปรามยาเสพติด วันที่เสียชีวิต แกกำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติภารกิจ ปลอมตัวเข้าไปในผับเพื่อล่อซื้อยาล็อตใหญ่จากพ่อค้ายาคนหนึ่ง ซึ่งสืบทราบมาว่ามีนักการเมืองใหญ่คอยหนุนหลังอยู่ โชคร้ายที่บังเอิญแกดันเดินไปเหยียบตีนใครคนหนึ่งเข้าด้วยความไม่ตั้งใจ จนกลายเป็นเหตุทะเลาะวิวาทบานปลายเมื่อคู่กรณีไม่พอใจเพียงคำขอโทษ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่มันจะเหนี่ยวไกลั่นกระสุนนัดสังหาร มันถามว่า “มึงรู้ไหมว่ากูลูกใคร!” ปัง ! ...แค่นั้นเอง...ชีวิตคนดี ๆ คนหนึ่ง ต้องจบสิ้นลงด้วยน้ำมือของไอ้เศษสวะขยะสังคม ไม่สิ มันต่ำช้ากว่านั้น...มันคือหนอนที่ชอนไชกัดกินอยู่บนเศษซากอันเน่าเหม็นของขยะนั้นอีกทีหนึ่ง*

ขณะที่ผมกำลังอารมณ์ขึ้นถึงขีด พลันสายตาเหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนป้ายคัตเอาท์โฆษณาโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่ง ที่ติดตั้งอยู่บนดาดฟ้าของตึกฟากตรงข้าม ความมืดทำให้ผมต้องเพ่งสายตามอง แต่ยังไม่ทันที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ทันใดนั้นเองร่าง ๆ หนึ่งก็ร่วงลงมา...ชั่วเสี้ยววินาทีที่ไฟสปอตไลท์สำหรับส่องป้ายคัตเอาท์สาดลงบนร่างนั้น ‘เฮ้ย ! นั่นมันคนนี่หว่า’ ด้วยสัญชาตญาณผมปล่อยกระป๋องเบียร์ในมือหลุดร่วงลงกับพื้น รีบวิ่งลงไป ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม จุดหมายคือบริเวณด้านล่างของป้ายคัตเอาท์ที่คาดว่าน่าจะเป็นจุดตก พอผมวิ่งไปถึง ตรงนั้นเป็นทุ่งหญ้ากอกกรกชัฏที่ขึ้นสูง กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล แต่มีอยู่จุดหนึ่งไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่นักกอกกยวบตัวลงไป ผมตัดสินใจค่อย ๆ สาวเท้าคืบเข้าไปช้า ๆ นึกเตรียมใจอยู่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศพของบุคคลนิรนามที่ทั่วทั้งร่างแหลกเหลว เลือดไหลออกจากทวารทั้งเก้าเป็นแน่ คะเนจากความสูงของป้ายคัตเอาท์ ‘ใครที่ตกลงมาแล้วไม่ตายก็ไม่ใช่คนแล้ว’ ผมรำพึงในใจ

ผมแทบช็อกเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงปลายเท้าเบื้องหน้า มันไม่ใช่ความรู้สึกตกใจกลัวแต่เป็นความแปลกใจสุดขีดมากกว่า แม้ว่าจะค่อนข้างมืด (ผมรีบจึงลืมหยิบไฟฉายติดมือมา) แต่แสงจันทร์แรมแปดค่ำก็ยังสว่างมากพอให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้

ร่างนั้นนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นไม่ไหวติง เขาสีแดงรูปดาวสามแฉก พาดปลายผ่านหน้าผากยาวลงมาจนถึงตำแหน่งที่ควรจะเป็นจมูก ดวงตาโตสีเขียวคู่นั้นมีจุดกลมเล็ก ๆ มากมาย บุ๋มลงไปคล้ายตาแมลงวันเมื่อมองผ่านแว่นขยาย ปากและคางสีเงิน ผ้าพันคอผืนยาวสีขาวพาดเฉียงอยู่บนหัวไหล่ซ้าย ที่นูนสูงขึ้นมาเพราะเสื้อเกราะสีแดงมีสัญลักษณ์รูปตัวเอสอยู่ตรงกลางหน้าอกที่สวมใส่อยู่ ดูคล้ายชุดกันกระแทกที่นักอเมริกันฟุตบอลใส่เวลาลงเล่น เข็มขัดเส้นโตสีขาวตรงกลางมีเส้นตรงพาดทับกันไปมาคล้ายดอกจันสีแดง ที่ด้านข้างทั้งซ้ายและขวามีปุ่มสี่เหลี่ยมอยู่ข้างละสามปุ่มเป็นสีน้ำเงิน เขียว และแดง ถัดลงมาเป็นกางเกงแนบเนื้อสีดำสนิทมันวาว สอดปลายทั้งสองข้างอยู่ในรองเท้าบู๊ตยาวสีขาว มีเส้นสีแดงลากผ่านตรงกลางเช่นเดียวกันกับถุงมือ

แวบแรกที่เห็นผมก็จำได้ในทันที เหมือนที่อยู่ในตู้ปลาของผมเปี๊ยบเลย ต่างกันก็แค่ร่างที่นอนทอดกายอยู่เบื้องหน้านี้มีขนาดสูงใหญ่เท่ากับคนจริง ๆ เขาจะเป็นอื่นใดไปไม่ได้เลยนอกจาก ไอ้มดแดงวีเจ็ด หรือยอดมนุษย์ไฟฟ้าสตรองเกอร์นั่นเอง

“โอ...ให้ตายเถอะพระแม่เจ้า ! นี่มันสตรองเกอร์นี่หว่า” ผมเผลอหลุดปากอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว ยกมือขวาขึ้นหยิกแก้มตัวเองเบา ๆ รู้สึกเจ็บ ถึงได้รู้ว่าไม่ได้ฝันไปที่ได้มาเจอฮีโร่ตัวจริง ‘มันเป็นไปได้ยังไงกันเนี่ย ?’ ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปแตะที่ตัวเขา ทันใดนั้นเองก็มีแสงสีขาวสว่างวูบขึ้นมา มันจ้าเสียจนผมต้องหลับตาเบือนหน้าหนี หันกลับมาอีกทีสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็กลายเป็นร่างของชายคนหนึ่งหน้าเหมือนคนญี่ปุ่น หรือจีน หรืออะไรทำนองนั้นนอนหมดสติอยู่

‘นี่มันอะไรกันวะ’ ผมคิดในใจ เลื่อนนิ้วชี้ไปอังที่ปลายจมูก เขายังมีลมหายใจอยู่…ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน รู้สึกตัวอีกทีผมก็อุ้มเขามาถึงหน้าห้องนอนแล้ว ตัดสินใจวางเขาลงบนเตียง ผมเดินไปทิ้งตัวลงนอนที่เก้าอี้โซฟาตัวยาว ตรงชุดรับแขกที่วางอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องด้วยความเหน็ดเหนื่อย ปิดเปลือกตาลง ตั้งใจว่าจะพักสายตาพลางคิดหาทางออกว่าควรทำอย่างไร จะแจ้งตำรวจก็กลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ผมพูด ดีไม่ดีอาจจะหาว่าผมเป็นบ้าไปอีก จะส่งโรงพยาบาลก็ไม่แน่ใจว่าจะจำเป็นสักเท่าไหร่ เพราะเขาไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างกายเลยด้วยซ้ำไป ทั้งที่ตกมาจากที่สูงขนาดนั้น รู้สึกเปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ คงเป็นเพราะว่าผมเหนื่อยมาทั้งวันประกอบกับลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ลอยมาปะทะผิวหน้า...ในที่สุดผมก็ค่อย ๆ เคลิ้มแล้วหลับไป... ในฝันผมเห็นตัวเองแปลงร่างกลายเป็นสตรองเกอร์ ต่อสู้กับปีศาจร้ายที่มาคุกคามมนุษย์โลก…

เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนส่องทะลุผ้าม่านลายลูกไม้กระทบเปลือกตาพอให้รู้สึกตัวตื่น ผมพบตัวเองนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา สิ่งแรกที่ทำคือผงกหัวขึ้นดูบนเตียงนอน…มันว่างเปล่า ผมพยายามตั้งสติคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อคืน...หรือว่ามันเป็นเพียงความฝัน ผมอาจจะเมามากเกินไป ยังไม่ทันจะได้ข้อสรุปใด ผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง

“สวัสดี” ผมหันไปดูจึงเห็นว่าเป็นชายคนเดียวกันกับที่นอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนนี้ - ผมไม่ได้ฝันไป
“คุณคงเป็นคนที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้และพาผมมาที่นี่…ถ้าเดาไม่ผิดที่นี่คงเป็นบ้านของคุณสินะ” เขาพูดขึ้นพลางเหลียวมองไปรอบ ๆ ห้อง มันดูเหมือนประโยคบอกเล่ามากกว่าจะเป็นคำถาม ผมไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่าคำว่า ครับ
“ผมชื่อ…”
“ฮิคารุ” ผมพูดแทรกขึ้นก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมา ท่าทางเขาประหลาดใจไม่น้อย
“ผมชื่อประชวน เรียกผมชวนก็ได้” ผมกล่าวพลางยื่นมือออกไปเขย่ากับเขา
“คุณ…เอ่อ...คุณชวน คุณรู้จักชื่อของผมได้ยังไง” เขายังงงไม่หาย แทนคำตอบผมชี้มือไปยังทิศที่ตู้ปลาตั้งอยู่ เขามองตามพลางเดินไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าตู้ปลา จ้องมองสิ่งที่อยู่ในนั้น

“ชื่อจริงของคุณคือ ยามาฮ่า ฮอนด้าซีวิค ฮิคารุ แต่เมื่อแปลงร่างแล้ว คุณก็จะกลายเป็นไอ้มดแดงวีเจ็ด หรือยอดมนุษย์ไฟฟ้าคาเมนไรเดอร์สตรองเกอร์” เขาหันมามองผมอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“ไม่เพียงเท่านั้น ผมยังรู้อีกด้วยว่าคุณเป็นไอ้มดแดงเพียงตัวเดียวที่มีผู้ช่วยสาวแสนสวย...เธอชื่อ แทคเกิล” พูดมาถึงตรงนี้สีหน้าของเขาก็สลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนผมชักไม่แน่ใจว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า เขายืนนิ่งอยู่นาน ในที่สุดก็เดินมานั่งลงที่โซฟาฟากตรงข้ามกันกับผมแล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะยังมีคนจำผมได้ ขนาดในญี่ปุ่นเองแท้ ๆ ยังแทบไม่มีใครรู้จักพวกเรา…เขาลืมเรากันไปหมดแล้ว เด็ก ๆ วัยรุ่นก็หันไปเห่อแต่พวกบอยแบนด์หัวทองกับไอ้เด็กชินจังอะไรนั่น แต่นี่บนผืนแผ่นดินไทยย์ คุณเองก็เป็นคนไทยย์แท้ ๆ กลับยังจำผมได้ ไม่รู้ว่าผมควรจะดีใจหรือเสียใจดี ฮะ ฮะ ฮะ…” เขาหยุดหัวเราะ เอนหลังลงกับโซฟา ทอดสายตาเหม่อมองขึ้นไปบนเพดานอย่างไร้ความหมาย ผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในเสียงหัวเราะอันขื่นขมนั้น และเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง

“ยังไงก็ตาม ผมต้องขอขอบคุณคุณอีกครั้งที่ช่วยผมเอาไว้ แม้ว่าผมจะไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นเลย” เขายื่นมือมาจับกับผมอีกครั้งเป็นการขอบคุณ ผมรู้สึกว่ามือขวาของเขาสั่นผิดปกติ
“คุณหมายความว่ายังไงครับ ที่ว่าไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น” ผมถามเพราะไม่เข้าใจจริง ๆ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ
“ก็แล้วคุณคิดว่าผมขึ้นไปทำอะไรอยู่บนนั้นล่ะ” ผมนิ่งคิด เขานิ่งเงียบ เหมือนมีกำแพงโปร่งใสก่อตัวขึ้นคั่นกลางระหว่างเราสองคน แต่แล้วเขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้
“คุณชวน…ผมไม่อยากจะรบกวนคุณเลย…ว่าแต่ในห้องนี้พอจะมี...เอ่อ...เหล้าบ้างไหม…คือว่าผม…เป็นแอลกอฮอลิซึ่ม” ท่าทางเขาดูอึดอัดไม่น้อยที่ต้องพูดมันออกมา ผมเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดเหล้าส่งให้เขา มันเป็นวอดก้าเกรดต่ำ แต่ก็คงจะพอแก้ขัดได้ ผมไม่รู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะเริ่มสงสัยตั้งแต่ตอนที่เห็นมือเขาสั่นแล้ว

“อันนี้คงพอใช้ได้”
“ขอบคุณมาก” เขายื่นมืออันสั่นเทามารับขวดเหล้าไปจากผม เปิดฝาออกอย่างรวดเร็วแล้วยกขึ้นกรอกปากอึกใหญ่
“หมายความว่า คุณติดเหล้าอย่างนั้นหรือ” ผมยังไม่วายถามออกไป
“ใช่” เขาตอบก่อนกระดกเหล้าอีกหนึ่งอึกแล้วกล่าวต่อ “แต่ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกที่เป็นอย่างนี้ พวกเราคนอื่น ๆ ก็เป็น”
“คุณหมายถึงไอ้มดแดงตัวอื่น ๆ น่ะเหรอ”
“ใช่ ทั้งคาเมนไรเดอร์ X อเมซอน สกายไรเดอร์ก็ด้วย” เขาหมายถึงไอ้มดแดงวี 5 วี 6 และวี 8 นี่สิที่ทำให้ผมแปลกใจของจริง ฮีโร่ในวัยเด็กของผมที่คอยผดุงคุณธรรม รักษาความยุติธรรม ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน กลายเป็นคนติดเหล้ากันไปหมดแล้วหรือนี่ ? ? ?
“แล้วซูเปอร์วันล่ะ” ผมหมายถึงไอ้มดแดงวี 9 ตัวที่ดังที่สุดสมัยยี่สิบปีก่อน คนที่มีถุงมือวิเศษเปลี่ยนได้หลาย ๆ คู่ ตอนเด็ก ๆ ผมชอบเถียงกับเพื่อนว่าแบบไหนเจ๋งที่สุด
“นั่นล่ะตัวขี้เมาเลย เพิ่งเป็นตับแข็งตายไปเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง” คำตอบของเขาทำผมถึงกับอึ้ง ไอ้มดแดงเป็นตับแข็งตาย นี่มันอะไรกันวะ???

อยากหลอกตัวเองเหลือเกินว่าหูผมคงมีอะไรผิดปกติไป แต่ความจริงสิ่งที่ผมได้ยินมันก็เป็นอย่างนั้น เขายังคงก้มหน้าก้มตาดื่มต่อไป ตอบคำถามผมด้วยแววตาเหม่อลอยไร้ความรู้สึก เหมือน(กับว่า-ตัดทิ้ง)ไม่ใส่ใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต่อให้โลกจะแตกอยู่ตรงหน้าก็ตามที

“คุณคงไม่ได้หมายความว่าคูก้ากับอากิโตะด้วยหรอกนะ” ผมถามถึงไอ้มดแดงสองตัวล่าสุดขวัญใจเจ้าน้องชายคนเล็ก
“สองคนนั่นเพิ่งเริ่ม แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก…แอลกอฮอลิซึ่มเหมือน ๆ กัน” เขายังคงตอบผมเหมือนมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผมจะบ้าตาย...นี่ถ้าน้องชายผมรู้เข้ามันจะคิดยังไงนะ
“คุณฮิคารุ ผมมีเรื่องมากมายอยากจะถามคุณ แต่ก่อนอื่นคุณจะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะขอถามอะไรโง่ ๆ สักอย่าง”
“ว่ามาเถอะคุณชวน คงไม่มีอะไรในโลกบูด ๆ เบี้ยว ๆ ใบนี้จะเซอร์ไพรส์ผมได้อีกแล้วล่ะ”
“คือผมยังสงสัยอยู่ว่า เมื่อคืนผมเห็นกับตาว่าคุณพยายามจะฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงมาจากที่สูงขนาดนั้น แต่คุณกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย แล้วทำไมกะอีแค่เหล้าถึงทำให้ซุปเปอร์วันซึ่งเป็นยอดมนุษย์ เป็นไอ้มดแดงเหมือนกับคุณ...เป็นตับแข็งตายได้”

“นึกว่าอะไรเสียอีก คือมันเป็นอย่างนี้คุณชวน ผมน่ะสังหรณ์ใจอยู่แล้วล่ะก่อนที่จะกระโดดลงมา ว่ามันอาจจะไม่สำเร็จ…เหมือนกับครั้งก่อน ๆ ที่ผมเคยพยายามมาแล้วน่ะแหละ เพราะว่าเวลาที่พวกเรา…ผมหมายถึงไอ้มดแดงน่ะ เวลาที่พวกเราตกอยู่ในอันตราย เราจะกลายร่างโดยอัตโนมัติ ที่ผมยังมีชีวิตรอดมาได้จนถึงเดี๋ยวนี้ก็เป็นเพราะชุดเกราะนั่นแหละ แต่ว่าชุดเกราะจะสามารถปกป้องเราได้ก็แต่อันตรายที่มาจากภายนอกเท่านั้น ไม่รวมถึงสิ่งที่ทำร้ายเราจากข้างในอย่างเหล้าหรอก พวกเราอาจจะแข็งแรง อาจจะมีพละกำลังมหาศาล มีท่าไม้ตายไว้ปราบพวกผู้ร้าย แต่คุณต้องอย่าลืมว่าเวลาที่ไม่ได้แปลงร่าง พวกเราก็เป็นคนธรรมดา ๆ เหมือนอย่างพวกคุณ เราต้องกินเมื่อหิว เราต้องขับถ่าย ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ต้องดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เราหัวเราะเมื่อดูหนังตลก เราร้องไห้ เราซึมเศร้าเหงาเพราะรัก เรามีความสุขและความทุกข์เหมือนกับพวกคุณเช่นกัน…อ้อ อีกอย่างที่ซุปเปอร์วันเป็นตับแข็งตายน่ะ เพราะเขาอยากให้มันเป็นอย่างนั้นเอง เขาเลือกที่จะทำร้ายตัวเองด้วยการดื่มเหล้าขาว”

“คุณหมายถึงเหล้าขาวของประเทศผมน่ะเหรอ”
“40 ดีกรี แบบที่แกล้มกับมะขามเปียกจิ้มเกลือ...นั่นแหละใช่เลย”
“ก๊าก ก๊าก ก๊าก…ฮ่า ฮ่า ฮ่า…เฮอะ เฮอะ เฮอะ” ผมระเบิดเสียงหัวเราะราวคนเสียจริต ถ้าคุณได้มาฟังเรื่องราวเหล่านี้เหมือนที่ผมได้ยินล่ะก็ เชื่อเถอะว่าคุณจะมีอาการไม่ต่างกันกับผมสักเท่าไหร่หรอก ใครล่ะจะเชื่อว่ามันเป็นความจริง ถ้าไม่ได้มาเจอกับตัวเอง ผมต้องขอเหล้าจากเขามากระดกเองสองสามอึก ถึงได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง

เรายังคงคุยกันต่ออีกยาว…สามสี่วันหลังจากนั้น ผมตระเวนพาเขาไปดื่มตามร้านเหล้าขาประจำ ทั้งส้มตำหน้าปั๊ม ร้านลาบหน้าปากซอย จุ่มแซบอีสาน เนื้อย่างเกาหลี ฯลฯ บทสนทนาระหว่างแก้วเหล้าทำให้ผมรู้ว่า ทำไมเขาถึงอยากฆ่าตัวตาย และทำไมไอ้มดแดงหลายตัวจึงกลายเป็นคนติดเหล้า เขาบอกว่าสาเหตุที่ทำให้พวกเขากลายเป็นไอ้ขี้เมานั้นคล้ายคลึงกัน เขาเองก็เช่นเดียวกัน ต่างตรงที่เรื่องราวของเขาออกจะเข้มข้นและน้ำเน่ากว่าของคนอื่นอยู่หน่อย...

เขาเริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า ย้อนหลังกลับไปเกือบยี่สิบปีก่อนหน้านี้...ตอนนั้นเหล่าไอ้มดแดงยังคงเป็นที่นิยมชมชอบของบรรดาเด็ก ๆ ตัวเล็กตัวน้อยรวมไปถึงผู้ใหญ่ในญี่ปุ่นด้วย ฐานที่พวกเขาเป็นผู้ที่คอยพิทักษ์ความยุติธรรม ขจัดเหล่าร้ายที่จะมากล้ำกรายรุกราน ก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย ทุกครัวเรือนต้อนรับเหล่าคาเมนไรเดอร์เยี่ยงวีรบุรุษสงคราม เหมือนกับว่าถ้าบ้านใดมีโอกาสได้ต้อนรับขับสู้ แม้เพียงเลี้ยงข้าวพวกเขาสักมื้อก็จะเป็นเกียรติอย่างยิ่งแก่วงศ์ตระกูล บางครอบครัวถึงขั้นจะยกลูกสาวให้ตกแต่งเป็นภรรยา

“ผมแทบไม่เคยเสียเงินซื้อข้าวกินเองเลยตอนนั้น” เขาเล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข “พวกเรากลายเป็นฮีโร่ของทุก ๆ คน เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งดีงาม ของคุณธรรม ของความยุติธรรม เป็นฝ่ายธรรมะที่หาญกล้าเข้าต่อกรกับปีศาจร้ายฝ่ายอธรรม…เด็ก ๆ ทุกคนใฝ่ฝันจะโตขึ้นมาเป็นอย่างพวกเรา”
แต่แล้วเมื่อกาลผันยุคสมัยแปร วันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เมื่อกระแสค่านิยมตะวันตกไหลบ่าท่วมท้น ทับถมและกลืนกินวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวอาทิตย์อุทัย กิโมโนถูกพับเก็บใส่ลิ้นชักให้แมลงสาบแทะรอวันเปื่อยยุ่ย พร้อม ๆ กับที่พวกเขาเหล่าไอ้มดแดงถูกลบเลือนไปจากความทรงจำของผู้คน กลายเป็นตำนานที่ไม่มีใครกล่าวขานถึง ในใจของเด็กน้อยเมื่อวันวานที่เคยมีไอ้มดแดงครอบครอง ถูกแทนที่ด้วยไมเคิล แจ็กสัน ราชาเพลงป๊อปผิวหมึกชื่อก้องโลก พวกเขาไม่แข่งกันทำท่าแปลงกายเลียนแบบไอ้มดแดง หรือแบ่งฝ่ายเล่นเป็นคาเมนไรเดอร์ต่อสู้กับเหล่าปีศาจร้ายเหมือนที่เคย หากแต่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนประชันเครื่องแต่งกายล้ำสมัยเลียนแบบดาราคนดัง ฝึกเต้นเบรคด้านซ์ท่ามูนวอล์คเกอร์กับลีลาลูบเป้าอยู่แถวถิ่นฐานฮาราจูกุ เด็กสาวประกวดประขันแต้มหน้าทาปากแดงแจ๋ กลบเกลื่อนริ้วรอยความใสซื่อบริสุทธิ์ที่แท้แห่งวัยเยาว์ จุดมุ่งหมายสูงสุดคือผันตัวเองเข้าสู่วงการเป็นนางแบบสาวเอวี
*

เหล่าไอ้มดแดงทั้งหลายจึงไม่ต่างอะไรกับคนที่ตกยุคหลงสมัย ไม่สามารถหาที่ทางให้กับตัวเองได้ เมื่อถูกกระแสธารแห่งกาลเวลา พัดพาเข้าสู่วังวนอันเชี่ยวกรากของทุนนิยมบริโภคตะวันตกแบบเข้มข้นสุดกู่ ยุคสมัยที่เงินเท่านั้นคือพระเจ้าบันดาลได้ทุกสิ่งดั่งใจหวัง คุณค่าความงามของจิตนิยมแบบตะวันออกเลือนหาย เมื่อโลกวัตถุนิยมสถาปนาตัวตนขึ้นกลางจิตใจของผู้คน ทุกผู้ทุกนามต่างมุ่งแสวงหาให้ได้มาซึ่งอำนาจเงินตราและกำไรสูงสุด โดยไม่ใส่ใจมรรคผลใด คุณธรรมเป็นเพียงคำนามที่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากหน้าพจนานุกรม...

ในสายตาของไอ้มดแดงอย่างพวกเขานี่คือกลียุคอย่างแท้จริง เหมือนสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายเพื่อมาพบโลกแห่งความเป็นจริงที่ร้ายยิ่งกว่า ยุคสมัยที่คนดีกลายพันธุ์เป็นคนเลว คนเลวกลายเป็นเลวยิ่งกว่า ปีศาจร้ายรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ที่เคยต่อกรด้วยในอดีต กลับกลายเป็นคนใส่สูทผูกไท นักการเมืองเลวคอร์รัปชั่นโกงกินบ้านเมืองสร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง ประพฤติตนไม่ต่างจากอันธพาลหัวหน้าแก๊งยากูซ่าที่คอยสูบเลือดผู้คน ท้ายสุดเมื่อไร้แล้วซึ่งความสามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับโลกบูด ๆ เบี้ยว ๆ ในปัจจุบัน

“พวกคุณจึงหันหน้าเข้าหาการดื่ม...และกลายเป็นไอ้มดแดงติดเหล้าในที่สุด” ผมถาม
“…ใช่…” เขาตอบเสียงอ่อย
ยัง…ยังไม่จบเท่านั้น เรื่องราวชีวิตน้ำเน่ายิ่งกว่าดาวพระศุกร์ของสตรองเกอร์ยังไม่จบ

หลังจากนั้นไม่นาน แทคเกิลผู้ช่วยสาวแสนสวยของเขา ซึ่งในความเป็นจริงเขาบอกว่าเธอเป็นคนรักของเขาด้วยนั้น ก็ได้ถูกพวกแก๊งยากูซ่าจับตัวไป พวกมันบังคับให้เธอเสพยา ขายตัว เล่นหนังโป๊ ในที่สุดเมื่อเธอเสพยาจนติด เธอก็กลายเป็นคนขายยาให้กับพวกมัน...เธอกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการเป็นนางเอกหนังเอวี ทำรายได้มหาศาลให้กับพวกมัน เธอไม่ต้องถูกบังคับให้ขายตัวอีกต่อไป แต่กลายเป็นนางกลางเมืองที่พวกมันใช้เป็นบรรณาการให้กับนักการเมืองชั่ว แลกกับผลประโยชน์ที่จะได้จากการทำธุรกิจมืด...เขาเล่าให้ผมฟังด้วยน้ำตานองหน้า

“ทำไมคุณถึงไม่พยายามหาทางช่วยเธอออกมาล่ะ” ผมรุกถาม
“ฮะ ฮะ ฮะ…คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่พยายาม…ถามจริง ๆ เถอะ ถ้าคุณเป็นผมคุณจะทำอะไรได้ ผมตัวคนเดียว พรรคพวกเพื่อนฝูงก็กลายเป็นคนติดเหล้ากันหมด อย่าว่าแต่ไปสู้กับพวกมันทั้งแก๊งเลย เอาแค่ประคองแก้วเหล้าในมือไม่ให้หกได้ก็เก่งแล้ว…จริงอยู่ผมอาจจะเคยรับมือพวกปีศาจร้ายได้อย่างสบาย ๆ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมมีอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมได้หรอกนะ” เขากระดกเหล้ารวดเดียวหมดก่อนใช้ตะเกียบคีบเสือร้องไห้เข้าปาก
“แล้วยังไงต่อ…คุณเลยตัดสินใจมาเมืองไทยย์ ?”
“ใช่ ผมตัดสินใจเดินทางมาประเทศไทยย์”

เขาเล่าให้ผมฟังต่อว่า เขาตัดสินใจทิ้งอดีตทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เดินทางมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศไทยย์พร้อมกับคาเมนไรเดอร์ซูเปอร์วัน ทั้งสองแยกกันที่สนามบินดันเมือง ซูเปอร์วันเลือกที่จะลงใต้ ส่วนเขามุ่งหน้าสู่จังหวัดหนึ่งในแถบอีสาน เขาใฝ่ฝันจะเป็นชาวนาใช้ชีวิตอันสงบสุขเรียบง่ายอยู่กับธรรมชาติในชีวิตบั้นปลาย

แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่ได้สวยงามอย่างใจหวัง เมื่ออยู่ไปได้สักพัก เขาจึงได้รู้ความจริงว่าที่นี่ไม่ได้มีแต่เพียงสิ่งสวยงามอย่างเดียวเหมือนที่เอเยนซี่ทัวร์โฆษณาไว้ ประเทศไทยย์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับญี่ปุ่นบ้านเกิดเมืองนอนของเขาสักเท่าไหร่ นอกจากรูปร่างหน้าตา สีผิวของผู้คนและภาษาที่ใช้ต่างกันแล้ว ที่เหลือก็เน่าเฟะพอกัน...โครงสร้างทางสังคมอันเหลวแหลก นักการเมืองชั่วคอร์รัปชั่นโกงกินบ้านเมือง ระบบอุปถัมภ์ค้ำจุน สังคมที่มีแต่การแก่งแย่งแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น เห็นแก่ตัว วัตถุนิยมขึ้นสมอง ธุรกิจมืด ซ่องถูกกฎหมาย บ่อนการพนัน ยาเสพติด การค้าแรงงานเด็ก ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม เผด็จการทุนนิยม โจรในเครื่องแบบ ฯลฯ สิ่งดี ๆ เพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นกับเขาคือการที่เขาได้พบรักกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ ‘สมศรี’ แต่แล้วทั้งคู่ก็มีความสุขอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน วันหนึ่งเธอก็ทิ้งเขาไปเพราะความจน…เขาใช้เวลาอยู่เกือบปีออกตระเวนตามหาเธอจนทั่วกรุงเทพย์ฯ ในที่สุดเขาก็พบเธอขายตัวมั่วชายในบาร์อยู่ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง

“เธอเปลี่ยนไปมาก ไม่เหลือเค้ารอยแห่งความบริสุทธิ์เดียงสาของสาวบ้านนอกคนเดิมอยู่อีกเลย เธอกลายเป็นสมศรีคนใหม่ ใส่สายเดี่ยว กระโปรงสั้นจู๋ ทาปากแดงแจ๋แต่ไร้หัวใจ…เธอบอกผมว่าเธอจะไม่กลับ ให้ผมกลับไปแล้วลืมเธอซะ เธอว่าสมศรีคนเดิมตายไปแล้ว…” เขาเล่าทั้งน้ำตานองหน้าอีกครั้ง
“…………” ผมได้แต่อึ้งกับตำนานรักดอกเหมยของเขา
“มันเป็นวันเดียวกับที่ผมได้รู้ข่าวว่าซูเปอร์วัน…เป็นตับแข็งตาย”
“คุณเสียใจมาก เลยตัดสินใจกระโดดลงมาจากคัตเอาท์” เขาพยักหน้าแทนคำตอบ น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงมาจากสองข้างแก้ม...เม็ดหนึ่งหยดลงในแก้วเหล้าของเขาที่วางอยู่ตรงหน้า เขายกมันกระดกถี่ขึ้นและถี่ขึ้น
“เอ่อ…สตรองเกอร์ คุณคงไม่ได้หมายถึงสมศรีคนที่… ‘ข่าวคราวเงียบหายไปสองสามปี นึกว่าไปได้ดี โธ่ศรีน้องมาขายตัว’…หรอกนะ” ผมฮัมเพลงให้เขาฟัง นึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ
“…ใช่… คนนั้นนั่นแหละ เธอชื่อสมศรี 1992”
“…………” ผมอึ้งและอึ้ง

เรายังคงนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นอีกนาน เขาได้แต่นั่งเหม่อลอยมองไปอย่างไร้ความหมาย แววตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึกเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ ที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ฮิคารุคนเดิมในความทรงจำ คนที่มีแววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว หากแต่เป็นเพียงร่างของชายวัยกลางคนคนหนึ่งกับผมเผ้ารุงรัง หนวดเครารกครึ้ม แก้มตอบเหมือนคนขาดสารอาหาร ดวงตาลึกโบ๋คู่นั้นมองเหม่อไปเหมือนพยายามค้นหาความหมายอะไรบางอย่างในอากาศ

มันยากที่ผมจะทำใจยอมรับความจริงที่อยู่ตรงหน้า ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ผมกำลังคิดทบทวนถึงเรื่องราวทั้งหมด ลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่ไอ้มดแดง แต่ผมก็มั่นใจว่าพอจะเข้าใจความเจ็บปวดของเขาอยู่บ้าง ผมไม่มีเหตุผลใดที่ดีพอจะประณามการพยายามจะกระทำอัตวินิบาตกรรมของเขาเลย มันยุติธรรมแล้วหรือที่เราจะประณามใครสักคนว่าอ่อนแอ ในความเจ็บปวดที่เราไม่เคยสัมผัส ไม่เคยรู้จัก…

ผมคิดและคิด ผมคิดถึงพ่อของเพื่อนที่ตายไป คิดถึงความเจ็บปวดของครอบครัวเขา คิดถึงลูกนักการเมืองคนนั้น คิดถึงการฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น คิดถึงสตรองเกอร์และเรื่องราวของเขา ในที่สุดผมตัดสินใจเอ่ยถาม

“สตรองเกอร์ คุณยังคิดจะฆ่าตัวตายอยู่อีกหรือเปล่า”
“ใช่…แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะ ผมรู้ว่าควรทำยังไง ผมรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่” เขากล่าวด้วยแววตาจริงใจ
“ถ้าคุณหมายความอย่างที่พูดจริง ๆ ล่ะก็ ขยับมาใกล้ ๆ สิ ผมมีไอเดียดี ๆ จะบอก”
เขาขยับเข้ามาใกล้ขึ้น
ผมกระซิบกระซาบอะไรกับเขาบางอย่าง ท่าทางเขาเห็นด้วยและยิ้มให้ผมอย่างพึงพอใจ

เมื่อคืนเขายังนั่งอยู่ในห้องนี้ ดื่มกับผมจนเกือบถึงเช้า ผมเผลอหลับไปเมื่อตอนใกล้รุ่งด้วยความเมามาย ตื่นอีกทีตอนสายเขาก็ไม่อยู่แล้ว เปิดทีวีดูก็เห็นแต่ข่าวด่วนรายงานการก่อเหตุวินาศกรรมรัฐสภาของสยองประเทศ ด้วยระเบิดพลีชีพของบุคคลนิรนามหรือตัวอะไรสักอย่าง ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถระบุที่มาที่แน่ชัดได้

เขาคงจะไม่ชอบการร่ำลา...

“ดื่มให้กับความสำเร็จในภารกิจครั้งนี้ ผมขอขอบคุณอย่างจริงใจในความเสียสละของคุณ…ที่เหลือไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะจัดการเอง”
ผมยกแก้วเหล้าขึ้นชูแล้วกล่าวอยู่คนเดียวหน้าตู้ปลา ก่อนกระดกเหล้ารวดเดียวหมด...เดินไปวางแก้วเปล่าไว้หลังตู้เย็น เปิดตู้เสื้อผ้า
ในลิ้นชักขวามือด้านล่างสุด มีระเบิด M-468 วางไว้อยู่ลูกหนึ่ง ผมหยิบมันขึ้นมากำไว้ในมือ ก่อนรำพึงกับตัวเองเบาๆ

“ที่เหลือผมจะจัดการเอง…รอกูก่อนเถอะมึง…ไอ้ฉลิม !”

…………………………………
* = จากภาพยนตร์เรื่อง My best friend wedding
หนัง AV = หนังโป๊ที่วางขายอยู่อย่างโจ๋งครึ่มในประเทศญี่ปุ่น อันว่าค่านิยมในการเห่อเหิมสินค้ามีแบรนด์เนมและค่านิยมฟุ้งเฟ้อต่างๆ นั้น วัยรุ่นญี่ปุ่นเป็นมาก่อนวัยรุ่นไทยหลายก้าวนัก เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยสาว พวกเธอที่อัตคัตในปัจจัยจึงยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของเหล่านั้น ทั้งนี้หมายรวมถึงการเอาตัวเข้าแลกก็ด้วย...

(ภาพ :Anonymous ที่มา : อินเตอร์เน็ต)


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

ความเรียงเกี่ยวกับภาพยนตร์ : A Snake Of June

A Snake Of June-เซ็กส์กับอารมณ์ขันของพระเจ้า

หากคุณคือผู้หนึ่งที่บังเอิญได้รับเกียรติให้เป็นสักขีพยาน ในการปฏิบัติกามกิจขั้นพื้นฐานของชายกลางคนหัวล้านคนหนึ่ง ขณะที่ไอ้หมอนั่นหลบอยู่หลังมุมตึกแอบดูภรรยาของตนเอง กำลังเปลือยเปล่าดิ้นเร่าเพราะความกระสันเสียวจากดุ้นสวรรค์เทียม
*ท่ามกลางสายฝนอันชุ่มฉ่ำเย็นของเดือนมิถุนายนเป็นฉากหลัง...คุณจะรู้สึกอย่างไร...

โป๊ เปลือย น่าเกลียด วิปริต วิตถาร ต่ำช้า โรคจิต และอีกสารพัดถ้อยคำที่อาจผุดขึ้นในกระแสสำนึกของคุณได้ ถ้าหากว่า...หนึ่ง คุณด่วนสรุปภาพยนตร์เรื่องนี้เร็วเกินไปตั้งแต่ยังไม่ทันชมมันจนจบ...กับสอง คุณเป็นคนจำพวกมือถือสากปากถือศีล ไม่ก็เกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ที่ไม่ยอมรับความจริง ตามจริง อย่างที่มัน “เป็นจริง”...ว่า “เซ็กส์” คือสิ่งสามัญตามวิถีของปุถุชนคนเดินดิน...

มันน่าแปลกที่ฉากซึ่งกระทบความรู้สึกของผมมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ กลับไม่ใช่ฉากที่เม็ดฝนนับล้านซัดกระหน่ำลงบนผิวขาวๆ อันเปล่าเปลือยของหญิงสาวต้นเรื่อง ทั้งๆ ที่ไม่ได้นิยมชมชอบในไม้ป่าเดียวกัน แต่มันกลับกลายเป็นฉากที่ชายหัวล้านตัวต้นเหตุ กำลังยืนช่วยตัวเองอย่างน่าสมเพชตรงซอกตึก...ช็อตที่เม็ดฝนตกกระทบลงบนหนังศีรษะมันเลื่อมอย่างอ้อยอิ่ง ผสานกับใบหน้าเหยเกที่ยากจะบอกได้ว่ากำลังทุกข์หรือสุข พร้อมๆ กับจังหวะเคลื่อนไหวภายใต้ร่มผ้านั้น...มันไม่ต่างอะไรจากนาฏกรรมซ้ำซากอันว่างเปล่าไร้สาระ ที่น่าเศร้าและเจ็บปวด...คำถามเดิมๆ ผุดย้อนขึ้นในมโนนึกอีกครั้ง “หรือเซ็กส์เป็นเพียงมุกตลกของพระเจ้า?-หากว่าเขามีอยู่จริง”...

มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณดิบ(Raw Instinct) คล้ายมีชิพขนาดจิ๋วซึ่งไม่ระบุที่มาฝังอยู่ในหัวด้วยกันทุกผู้ทุกนาม มันสะกดรอยตามเราไปทุกก้าวย่างแห่งลมหายใจ รอเพียงเวลา สถานการณ์ และบริบทต่างๆ ที่เหมาะสม มากระตุ้นเตือนให้ฟื้นตื่นเพื่อทำหน้าที่ของมัน ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด(Survival Instinct) ที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ซึ่งสร้างมาจากเรื่องจริงอย่าง “Alive”...แม้เนื้อดิบๆ ที่เย็นชืดจากซากศพของคนที่เคยรู้จักและนั่งมาบนเครื่องบินโดยสารลำเดียวกัน ก็ยังจำต้องแล่เนื้อเถือหนังเอามากินเพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอด หรือสัญชาตญาณของความเป็นแม่ที่ทำได้ทุกอย่าง ถ้าหากว่ามันหมายถึงการอยู่รอดของผู้เป็นลูก ซึ่งมีให้เห็นกันจนเจนตาในโลก 24 เฟรม กระทั่งสัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์อย่างในเรื่อง A Snake Of June ก็เช่นกัน...แรงขับทางเพศจะเป็นกุศโลบายอันแยบยลของธรรมชาติ ในการล่อหลอกให้มนุษย์เราต้องเดินตาม เพื่อสืบสานเผ่าพันธุ์แห่งมวลมนุษยชาติหรือไม่...ไม่สำคัญเท่ากับว่ามันมีอยู่จริง!

หล่อนผิดไหม...ที่เกิดอารมณ์เปลี่ยวขึ้นมากะทันหันในตอนกลางวันแสกๆ หล่อนจึงเล่นกับตัวเองเพื่อปลดเปลื้องพันธนาการล่องหนบางอย่างออกไป โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ตลอดเวลา...หรือหล่อนเป็นเพียงเหยื่อผู้บริสุทธิ์ของอะไรสักอย่าง...

เสียงกรีดร้องกลางสายฝนของเดือนมิถุนายน ยามที่ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุดของมัน...ในยามที่เสียงครางครวญนั้น ลอยผ่านลำโพงเข้ามากระทบโสตประสาทของผม...ผมไม่รู้สึกสักนิดเลยว่าหล่อนกำลังมีความสุข...ผมได้ยินเพียงสำเนียงคร่ำครวญของหญิงสาวที่กำลังทนทุกข์ทรมาน...จากการไม่เป็นที่รัก.

..................................................

* ดุ้นสวรรค์เทียม = อวัยวะเพศชายเทียม (Vibrator, Dildo)
(ภาพ : Anonymous ที่มา : อินเตอร์เน็ต)



All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

บทกวี : กวีหนุ่ม...

กวีหนุ่ม


หนุ่มน้อยเอย
เจ้าแสวงหาสิ่งใดกัน...

มายาแห่งมรรคศิลปินใหญ่
กระนั้นฤๅ...จักหล่อเลี้ยงอัตตาของเจ้าได้
ด้วยริมฝีปากที่แนบสนิท
กับแววตาเฉยชาหยามหมิ่น
ดั่งมหาปราชญ์ผู้วางตนเหนือโลก
กระนั้นฤๅ...จักเข้าถึงความลับแห่งจักรวาลได้

หนุ่มน้อยเอย
เจ้าแสวงหาสิ่งใดกัน...

.................................................

ชาติวุฒิ บุณยรักษ์
14 ก.พ. 49

(ภาพ : Anonymous ที่มา : www.deeperwants.com/.../photos/ceiling.jpg)


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

เรื่องสั้น : ทาส

ทาส...

ตาน้ำเล็กๆ นับล้านทยอยผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันค่อยๆ แทรกซึมจากเนื้อในสู่ผิวหนังด้านนอก ก่อเกิดเป็นธารน้ำสายเล็กๆ อันชื้นแฉะอยู่กลางฝ่ามือของนพรุจ และส่งผลให้ธนบัตรใบแดงเก่าคร่ำยับยู่ยี่สองสามฉบับที่เขากำไว้ในมือแน่น เปียกชุ่มไปโดยปริยาย...

เป็นครั้งที่สามแล้วในรอบสองชั่วโมง...ที่เขาเดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า บริเวณปากทางเข้าตลาดสดแห่งนี้ โดยถัวเฉลี่ยทุกๆ ครึ่งชั่วโมง นพรุจจะเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตู้กระจกขนาดเล็กสำหรับโชว์สินค้า ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าร้าน เขาจะทำทีเป็นก้มๆ เงยๆ สำรวจดูสิ่งของที่วางเรียงเป็นระเบียบอยู่ในตู้ทั้งสามชั้น แล้วเอ่ยถามข้อมูลเบื้องต้นกับพนักงานขายไปอย่างนั้นเอง เพราะสิ่งที่หมายตาวางอยู่ด้านบนสุดพร้อมปะราคาตัวใหญ่มองเห็นเด่นชัดแบบไม่ต้องสังเกต ก่อนจะเดินหลบฉากออกมาตั้งหลักอยู่ไม่ไกลจากจุดนั้นนัก


เขาจะควักบุหรี่ขึ้นจุดสูบ ระบายควันออกจมูกเป็นทางยาวอย่างฉุนเฉียวเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ บ่นพึมพำอะไรคนเดียว สลับกับเหลียวมองไปทางหน้าร้านเป็นระยะๆ แล้วลอบถอนหายใจอย่างปลดปลงกับตัวเองเบาๆ บางครั้งเขาเหม่อมองไปทางตู้โชว์นั้นอย่างลืมตัว ทอดสายตาแช่อยู่อย่างนั้นนิ่งนาน ขณะกำลังจมดิ่งลึกลงสู่ภายในห้วงภวังค์ความคิดของตัวเอง เมื่อมีเสียงรบกวนบางอย่าง เช่น แตรรถ กระตุ้นให้เขารู้สึกตัวตื่น เขาจะรีบเบือนหน้าหลบไปทางอื่นโดยพลัน เหมือนดั่งกลัวว่าจะมีใครจับได้ไล่ทัน ล่วงรู้ความคิดอ่านของเขาอย่างนั้น...

และด้วยเหตุแห่งพฤติกรรมประหลาดเยี่ยงนี้เอง ที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวบางอย่างภายในร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งนั้น...ลูกจ้างสองสามคนเริ่มจับกลุ่มซุบซิบอะไรบางอย่างแก่กัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเดินแยกตัวออกไป เพื่อกระซิบอะไรอีกอย่างหนึ่งกับเจ้าของร้านอีกต่อหนึ่ง แล้วจากนั้น...ทั้งหมดต่างก็พร้อมใจกันมองกลับมาที่เขาอย่างจับจ้องเป็นตาเดียว เขา...ผู้ซึ่งกำลังสนทนากับตัวเองอย่างสับสน โต้เถียงกับตัวตนภายในอย่างไม่ยอมลดราวาศอก เหตุผลมากมายถูกขุดค้นขึ้นมาตีโต้ความจำเป็นที่อีกฝ่ายยกมากล่าวอ้าง...

“ไหนแกว่าจะไม่ยอมตกเป็นทาสของมันอีกไง...แกเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนเขวี้ยงมันทิ้งไปนอกหน้าต่างเมื่ออาทิตย์ก่อน แล้วสบถสาบานกับตัวเองว่าชาตินี้จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับมันอีก...แล้วนี่อะไรกัน แกมาทำไมที่นี่ มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้!”
“ก็...มันจำเป็น...ใครๆ เขาก็มี ใครๆ เขาก็ใช้กัน มันสะดวกนี่ ไม่ต้องลุกเดินจากเตียงกลับไปกลับมา เสียเวลาเปล่าๆ สมัยนี้ไม่มีใครเขาทำกันแล้ว”
“ถุย!...เสียเวลา...พูดมาได้ คิดได้ยังไงวะ เอาตาตุ่มข้างไหนคิดกันเนี่ย มันจะเสียเวลาสักแค่ไหนกันเชียวกับเรื่องแค่นี้ ดีเสียอีก ได้ออกกำลังกายไปในตัวอีกต่างหาก ดูซิเนี่ยอ้วนจะเป็นหมูตอนอยู่แล้ว ขี้เกียจสันหลังยาวล่ะไม่ว่า ยอมรับมาตรงๆ เถอะ...อย่าเฉไฉหาเหตุผลข้างๆ คูๆ มาสมอ้างต่อไปอีกเลย อย่างกับทุกวันนี้ใช้เวลาอย่างรู้คุณค่านักนี่ วันหยุดก็ไม่เห็นจะทำอะไรนอกจากนอนจ้องไอ้ตัวกินไฟสองสามอันนั่น...แล้วก็ตกเป็นทาสของมัน”
“พูดอย่างนั้นก็เกินไป อย่างนี้คนทั้งโลกก็ตกเป็นทาสของ ‘มัน’ หมดเลยอย่างนั้นสิ”
“ก็ใช่...หรือว่าไม่จริง...ดูอย่างตัวแกเองเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนั่นสิ ไม่ใช่เพราะแกตกเป็นทาสของมันหรอกหรือ แกถึงได้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วไปพาลเอากับแฟนแกนั่น ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย...นี่ไม่ใช่เป็นเพราะมันมีอิทธิพลเหนือตัวแกหรอกหรือ ไม่อย่างนั้นแล้วแกเขวี้ยงมันทิ้งไปทำไมล่ะ ไหนลองบอกหน่อยซิ”
“ก็ตอนนั้นมันโมโหนี่...”
“ไม่ต้องมีมันน่ะดีแล้ว แกจะได้เป็นไทแก่ตัวเสียที ไม่ต้องติดทีวี ได้เข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นเช้าๆ มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีสาระยังดีกว่าอีก”
“แต่...แต่ว่า...มัน...”
“มันจำเป็นใช่ไหม...หยุดเถอะ ขอที เลิกอ้างโน่นอ้างนี่ได้แล้ว...มันไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของแกขนาดนั้นหรอก เชื่อเถอะ ไม่มีมันแกก็ไม่ตายหรอก...ไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ ไม่มีที่ซุกหัวนอน ไม่มียารักษาโรคเวลาป่วยไข้ นั่นต่างหากถึงจะตาย...กะอีแค่แท่งสี่เหลี่ยมๆ อันเดียว แกไม่ถึงกับตายหรอกน่า...เอะอะก็ดีแต่อ้างความจำเป็น โถ่เอ๊ย! มองดูสมบัติบ้าพะรุง
พะรังรอบๆ ตัวแกทุกวันนี้สิ จะมีสักกี่อย่างกันเชียวที่เป็นความจำเป็นแท้...นอกนั้นก็เป็นเพียงความจำเป็นเทียมๆ ที่แกใช้ความเคยชินมากล่าวอ้างกับตัวเอง ว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่า...หรือไม่จริง”
“แต่...แต่ว่ามัน...”

เปล่า...นพรุจไม่ได้เป็นบ้า และเขาก็ไม่ได้กำลังจะปล้นอะไรต่อมิอะไร อย่างที่พนักงานในร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าหน้าตลาดสดกำลังคิดกังวลอยู่หรอก จริงอยู่...เขาอาจจะดูเพี้ยนๆ ไปบ้างในสายตาของคนทั่วไป แต่ก็ด้วยเหตุที่...เขาค่อนข้างจะเป็นคนที่จริงจังกับชีวิตเกินไปสักหน่อยเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากไปกว่านั้นหรอก เขาแค่ต้องการความชัดเจนกับตัวเอง มันเป็นเรื่องของจุดยืนทางความคิดน่ะ โดยสันดานแล้ว นพรุจมักไม่ปล่อยให้ตัวเองตีความหรือประเมินค่าสิ่งต่างๆ อย่างขอไปที เขาจะคาดคั้นหาคำตอบกับตัวเองให้จงได้อยู่เสมอๆ เมื่อมีสิ่งเร้าต่างๆ ผ่านเข้ามาในชีวิต เราอาจพออนุโลมเรียกเขาอย่างล้อเลียนว่า “ไอ้ชัดเจน” ไปก่อนก็ได้

ใช่...นพรุจเป็นคนชัดเจน เขามักจะมีคำตอบหรือคำอธิบายให้กับสิ่งต่างๆ รอบตัวได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณถามเขาว่า “ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน”...อย่าหวังเลยว่าจะเห็นคิ้วเขาผูกโบว์ ก่อนตอบออกมาด้วยเสียงเนือยๆ ว่าไม่รู้หรือมันเป็นปัญหาโลกแตก...ไม่มีเสียล่ะ เขาจะตอบคุณอย่างชัดเจนและอธิบายด้วยความใจเย็นเจืออารมณ์ดี โดยเริ่มจากการหยิบยกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หรือทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตมากล่าวอ้าง แล้วสรุปให้คุณฟังอย่างชัดเจนอีกครั้ง หลังจากพร่ำพรรณนามายืดยาวว่าไก่ต้องเกิดก่อนไข่แน่นอน...นั่นล่ะคือนพรุจ

จากบุคลิกดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย หากคนอย่างนพรุจจะไม่ชอบคบหาสมาคมกับคนที่มีนิสัยหรือพฤติกรรมอย่างพวก มือถือสากปากถือศีลหรือพวกเทศนาในสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อ พวกเกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง อะไรประมาณนั้น...โชคยังดีอยู่บ้างที่นพรุจชัดเจนแต่กับตัวเอง เขาไม่นิยมการตัดสินผู้อื่น ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องของใครของมัน ที่แต่ละปัจเจกสมควรจะพิพากษาตัวเองให้เป็น และนั่นทำให้เขายังมีชีวิตรอดปลอดภัยมาได้อยู่จนทุกวันนี้ แต่หากจะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว มันคงจะดีไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ถ้าทุกคนในสังคมจะมีคุณสมบัติอย่างที่มีอยู่ในตัวของนพรุจ สักคนละนิดคนละน้อย โลกก็คงจะเป็นที่ที่น่าอยู่มากกว่าทุกวันนี้...

สามสิบร้อน สามสิบฝน สามสิบหนาวที่ผ่านมา จะให้คนอย่างนพรุจทนอะไร เขาก็พอจะทนได้อยู่หรอก ทนกับความโหดร้ายป่าเถื่อนของเพื่อนมนุษย์ ทนกับความเบาหวิวเปล่ากลวงของชีวิต ทนกับท่าทีประนีประนอมอย่างชนชั้นกลางแบบไม้หลักปักเลน หรือกระทั่งการเข้ายึดครองประเทศของผู้นำรัฐบาลนั่นก็ยังพอทำเนา แต่จะให้คนอย่างนพรุจต้องมาทนกับความปลิ้นปล้อนกลับกลอกหลอกลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ของตัวเอง” ด้วยแล้วล่ะก็ นั่นถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด...Unacceptable!

เรื่องวุ่นๆ ทั้งหมดนี้ มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ็ดวันก่อน...

เย็นวันนั้นนพรุจโหนรถเมล์ฝ่าควันพิษและการจราจรอันแสนสาหัสของกรุงเทพฯ กลับมาถึงบ้านเช่าตรงตามเวลาที่กะเกณฑ์ไว้ ตามประสาคนที่ชัดเจนและมีจุดยืนทางความคิดอย่างเขา...ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรืออยากจะเป็นคนดีในสายตาของคนรักแต่อย่างใด เขาถึงได้กลับบ้านเร็วในเย็นวันศุกร์ แทนที่จะไปเตร็ดเตร่ท่องราตรีดื่มกินกับเพื่อนฝูงคนสนิทเหมือนอย่างเคย...ไม่มีทางเสียล่ะ...หากแต่ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากการวางแผนอย่างรอบคอบ คิดทบทวนบวกลบคูณหารชั่งหนักชั่งเบาแล้วเป็นอย่างดี...

นพรุจตระหนักดีว่ามันเป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ที่เงินทองสำหรับจับจ่ายใช้สอยมักจะไม่คล่องมือ การต้องไปนั่งดื่มกินพูดคุยกับเพื่อนฝูงแบบยั้งๆ มองหน้ากันและกันอย่างกริ่งเกรง จะคิดสั่งอะไรมากลั้วคอขบเคี้ยวก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เหตุที่เงินคงเหลือในกระเป๋ามันไม่เอื้ออำนวยให้ ประกอบกับสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงนั้น ไม่มีประเด็นอะไรที่น่าสนใจพอจะนำมาเป็นเรื่องพูดคุยในวงเหล้า ดังนั้นเรื่องที่จะสนทนากันคงหนีไม่พ้นเรื่องเก่าๆ สมัยเป็นนักเรียน ซึ่งเขารู้สึกเบื่อเต็มที ทุกครั้งที่ได้ฟัง มันทำให้เขาสะท้อนใจว่าตัวเองนั้นเริ่มแก่แล้ว ยังไม่นับท่าทีอีหลักอีเหลื่อกับความลำบากใจ ยามต้องควักสตางค์ในกระเป๋ามาจ่ายค่าอาหารตอนสั่งเช็คบิลนั่นอีก...

คิดได้ดังนั้น นพรุจจึงไม่ลังเลที่จะรีบรุดมุดออกจากที่ทำงานในพลัน ทันทีที่นาฬิการ้องบอกเวลาห้าโมงตรง เขารู้ดีว่าหากชักช้าไปกว่านั้นแม้เพียงห้านาที มิแคล้วเขาอาจจะทนเสียงยื้อยัดทัดทานของเพื่อนๆ ไม่ได้เป็นแน่...เมื่อก้าวลงจากรถประจำทาง เดินเลียบริมฟุตปาธไปสักระยะแล้วเลี้ยวลัดเลาะเข้าริมคลอง ก่อนจะถึงปากซอยทางเข้าบ้านเช่า มีร้านขายของชำเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง นพรุจไม่ลืมที่จะหิ้วเบียร์เย็นๆ พอเป็นวุ้นสี่ห้าขวดติดมือเข้าไปด้วย เพื่อสมทบกับแก้วทรงสูงก้นหนา มีหูจับถนัดมือสองใบที่นอนรออยู่ก่อนแล้ว เขาจับมันแช่เย็นเตรียมไว้ในช่องฟรีซเมื่อเช้านี้ หนึ่งในนั้นเป็นของเขาและอีกหนึ่งนั้นย่อมเป็นของใครไปไม่ได้เลย หากไม่ใช่คนรักของเขา...

แน่นอน...มันย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกเช่นกัน หากแต่คุณจะเชื่อหรือไม่เล่าว่า มันเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งกับการมีประจำเดือนของผู้หญิง! นพรุจจำได้ดีว่าประจำเดือนของคนรักเพิ่งหมดไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา นับดูแล้วยังอยู่ในช่วงระยะปลอดภัย-หน้าเจ็ดหลังเจ็ด วันนี้เขาสามารถมีเซ็กซ์กับคนรักได้อย่างสุดเหวี่ยงทุกลีลาท่าทาง โดยไม่ต้องกังวลกับการตั้งครรภ์และไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นระหว่างเขากับคนรักเหมือนอย่างทุกๆ ที...เขารู้ดีจากการศึกษาหาอ่านบทความทางการแพทย์ ว่าในช่วงก่อนและหลังมีประจำเดือนนั้น จะเป็นช่วงที่ผู้หญิงมีความต้องการทางเพศมากที่สุด และเขายังรู้อีกด้วยว่าการจิบเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ จะทำให้การร่วมรักนั้นมีสีสันและยืดยาวออกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ...แน่นอน...ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...

...ทุกๆ อย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์และหวังไว้ นพรุจร่วมรักกับคนรักของเขาอย่างหฤหรรษ์ที่สุดในรอบสามเดือนเลยทีเดียว ทั้งเธอและเขาต่างก็ปริ่มเปรมไปด้วยความสุขแบบเหนือคำบรรยาย สังเกตได้จากลมหายใจที่หอบถี่กระชั้น กับเม็ดเหงื่อที่ผุดพราวขึ้นทั่วใบหน้าและลำตัวของทั้งสองฝ่ายนั่นอีก...เรื่องทั้งหมดน่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี มันน่าจะเป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ที่ดี สำหรับหนุ่มสาววัยเริ่มต้นชีวิตคู่ได้ไม่นานอย่างพวกเขา...อะไรจะดีไปกว่าเบียร์เย็นๆ กับแกล้มอร่อยๆ ที่ถูกปาก ตบท้ายด้วยเซ็กซ์เยี่ยมๆ สักสองครั้ง กับหนังดีๆ อีกสักเรื่อง ก่อนเข้านอนอย่างที่ไม่ต้องกังวลใจกับการตื่นในเช้าวันถัดไป...ใช่...มันควรจะเป็นอย่างนั้น...

ถ้าหากเพียงแต่ว่า...นพรุจจะไม่เดินไปเข้าห้องน้ำหลังเสร็จกิจ...ด้วยความเลินเล่อ

เขาเผลอ...ถือรีโมทคอนโทรลของทีวี...ติดมือเข้าห้องน้ำไปด้วย

ขณะกำลังยืนปัสสาวะอยู่หน้าชักโครกนั้น เขาพลันรู้สึกตัวว่าถือรีโมทฯ ติดมือมาด้วย จึงวางมันไว้บนถังพักน้ำเหนือกองนิตยสาร แล้วหันมาทำธุระต่อจนเสร็จ แต่ในขณะที่เขากำลังขมิบให้สุดพร้อมเขย่าเป็นครั้งสุดท้ายนั้นเอง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาหน่วงๆ จากเดิมที่ตั้งใจว่าจะอาบน้ำ เขาจึงต้องเปลี่ยนแผนมาเป็นนั่งถ่ายท้องแทน...ด้วยความเคยชิน นพรุจเอี้ยวตัวไปหยิบนิตยสารเล่มบนสุดมาพลิกอ่านเพื่อฆ่าเวลา...ผ่านไปห้านาที เมื่อเขารู้สึกว่าเสร็จกิจดีแล้ว จึงวางนิตยสารกลับสู่ที่เดิมโดยไม่หันไปมอง ก่อนเอื้อมมือไปคว้าสายฉีดน้ำมาชำระล้างทำความสะอาด เสร็จแล้วจึงกดชักโครก ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปเพื่ออาบน้ำต่อ...แน่นอน...ถึงตอนนี้เขาลืมไปแล้วว่ารีโมทคอนโทรลของทีวีวางอยู่ตรงไหน...

เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เขาก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ คนรักที่กำลังจดจ่ออยู่กับละครหลังข่าว เขาทำเป็นติดตามเรื่องราวตรงหน้าไปด้วยเพราะไม่อยากขัดใจเธอ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่เคยนึกพิสมัยมันเลย ตั้งใจว่าจะรอจนเธอลุกไปเข้าห้องน้ำจึงจะเปลี่ยนช่องไปดูรายการที่ตัวเองชอบ สักพักหล่อนก็ลุกไปเข้าห้องน้ำจริงๆ...ถึงตอนนี้เขาเริ่มควานหารีโมทฯ ทีวีเป็นครั้งที่หนึ่งแล้ว เขาสอดส่ายสายตาหาดูบริเวณโดยรอบเตียง ใต้หมอน ใต้ผ้าห่ม แต่แน่นอนล่ะว่าเขาต้องไม่เจอ นพรุจยังไม่เอะใจหรอกว่ามันหายไปไหน ขณะเดินไปกดปุ่มเปลี่ยนช่องที่ตัวเครื่อง เขาคิดในใจว่ารอให้เธอออกมาจากห้องน้ำก่อนแล้วจะเอ่ยถาม เธออาจจะวางมันไว้ที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้ เขาแน่ใจอย่างนั้น...แล้วเขาก็กลับมานอนดูทีวีต่อ...แล้วก็ลืมเรื่องนั้นไป

คุณอาจคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไร้สาระใช่ไหม
แต่รอจนวันที่คุณทำรีโมทฯ สักอันในห้องนอนหายดูก่อนเถอะ
ไม่ว่าจะเป็นรีโมทฯ แอร์, พัดลม, ทีวี, สเตอริโอ, ดีวีดี, วีซีดี, วีดีโอ, ยูบีซี...
หรืออะไรก็ตามทีเถอะ...รอให้ถึงวันนั้นก่อน...แล้วคุณจะเข้าใจ...

คนรักของนพรุจอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนดูทีวีเคียงข้างเขา...ผ่านไปสิบนาที เธอเริ่มเบื่อกับรายการถ่ายทอดสดฟุตบอลตรงหน้า นั่นเป็นครั้งที่สองที่การค้นหารีโมทฯ ทีวีของพวกเขาเริ่มต้นขึ้น แต่ภาระหนักตกอยู่กับหล่อนที่เป็นฝ่ายต้องการเปลี่ยนช่องเสียมากกว่า นพรุจซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับเกมการแข่งขันจึงไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจนัก...หล่อนค้นดูใต้หมอน ใต้ผ้าห่ม ตามซอกขอบเตียง โต๊ะเครื่องแป้ง หลังตู้เย็น ในตู้เสื้อผ้า แต่ก็ไร้วี่แววของมัน...ก็แน่ล่ะ พวกเขาจะไปเจอได้อย่างไร คุณเองก็รู้ดีนี่ว่ามันวางอยู่ที่ไหน...ไม่นานหล่อนก็ยอมแพ้ ล้มตัวลงนอนตามด้วยเสียงบ่นกระปอดกระแปด ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เอะใจ ผ่านไปอีกยี่สิบกว่านาที ตอนที่ฟุตบอลจบแล้วนั่นล่ะ เขาจึงเริ่มรู้สึกตัว เมื่อต้องการจะเปลี่ยนช่องแต่ไม่มีรีโมทฯ อยู่ข้างกาย...

รีโมทฯ เป็นวัตถุทรงสี่เหลี่ยมๆ ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก สันฐานค่อนข้างแบน
ดูไม่น่าจะสลักสำคัญอะไรกับคนเรามากนัก แต่กลับมีอิทธิพลต่อวิถีการดำรงชีวิต
ของผู้คนในปัจจุบันได้อย่างประหลาด...มันคล้ายจะหลอมรวมเป็นอวัยวะส่วนที่
สามสิบสามของมนุษย์ไปเสียแล้ว คุณย่อมไม่รู้สึกหรอก หากว่ายังมีมันอยู่ข้างกาย
ความเคยชินทำให้คุณเห็นเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าหากวันหนึ่งมันหายไป...

คนรักของเขาผล็อยหลับไปแล้ว หล่อนกำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราอย่างเป็นสุข ในขณะที่นพรุจกำลังเริ่มค้นหามันอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน...นั่นเป็นครั้งที่สามแล้ว แน่นอนล่ะว่าเขาต้องหาไม่เจอ ก็เขาหาผิดที่นี่นา คุณเองก็รู้ดีว่าเขาวางมันไว้ที่ไหน ในที่สุด เขาก็เดินไปเปลี่ยนช่องที่ตัวเครื่องอีกครั้งอย่างยอมจำนน ก่อนล้มตัวลงนอนจ้องจอสี่เหลี่ยมนั่นอีกครั้ง...เรื่องน่าจะผ่านไปด้วยดี ไม่มีอะไร หากเพียงแต่ว่าเขาจะเป็นคนที่นอนหลับได้ง่ายๆ เหมือนคนทั่วไป แค่ล้มตัวลงนอนปิดตาหลับให้เต็มสักตื่น ฟื้นขึ้นมาค่อยค้นหามันใหม่อย่างมีสติดีๆ จนถี่ถ้วนทั่วทั้งห้อง ก็น่าจะเจอได้ไม่ยากนัก แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ นพรุจเป็นคนที่มีปัญหากับการนอนหลับมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาเป็นคนที่นอนหลับยากมากๆ อย่างผิดมนุษย์มนาโดยทั่วไป ถ้าไม่เพลียหรือง่วงจริงๆ แล้วล่ะก็ เขาไม่มีทางจะข่มตาลงได้ง่ายๆ เลย...

ไม่มีใครรู้แน่ชัดนัก ถึงสาเหตุที่ทำให้เรื่องดังกล่าวบานปลายใหญ่โต กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว...อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เขาดื่มเข้าไป หรือปมด้อยในวัยเด็กสักอย่างที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของนพรุจก็เป็นได้ หรืออิทธิพลที่รีโมทคอนโทรลอันนั้นมีอยู่ อาจเหนือกว่าสัมปชัญญะของเขาในขณะนั้นก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน...จังหวะนี้อะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น...อำนาจของมันอาจมีอยู่จริง และมหาศาลเสียจนทำให้เขาต้องตกเป็นทาสเป็นเบี้ยล่างของมันได้ หรือว่ามันอาจเกิดจากความอ่อนแอและขี้เกียจของเขาเองนั่นแหละ ที่ทำให้เขายอมตนตกอยู่ใต้อำนาจของมันอย่างเต็มใจ...

ในตอนนั้น นพรุจไม่มีสติปัญญาจะคิดหาคำตอบหรอก เขารู้เพียงแค่ว่า...ภาพของคนรักที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข คลออยู่ด้วยเสียงกรนในลำคอเบาๆ ที่ตรงหน้า ในขณะที่เขากำลังก้มหน้าก้มตาหารีโมทฯ จนทั่วห้อง อย่างหงุดหงิดงุ่นง่านเป็นครั้งที่หกแล้วนั้น ช่างเป็นภาพที่บาดตาบาดใจเขาเป็นยิ่งนัก...ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนใดกันที่สิงสู่ดลใจให้นพรุจกระทำลงไปเยี่ยงนั้น จู่ๆ เขาก็เขย่าตัวเธออย่างแรงเพื่อให้รู้สึกตัวตื่นอย่างไม่มีเหตุผล หล่อนสะดุ้งผวาลุกขึ้นนั่งสุดตัวอย่างคนที่เพิ่งตกใจตื่นจากฝันร้าย...แน่นอนล่ะว่าหลังจากนั้น ถ้อยคำผรุสวาทมากมายต้องทยอยออกจากปากของหล่อนเป็นชุด เป็นใครๆ ก็ต้องโกรธด้วยกันทั้งนั้น หากถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึกอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ หล่อนอาจจะกำลังหลับฝันถึงกิ๊กคนที่ยี่สิบแปดอยู่ก็ได้ ใครจะรู้...

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น คือการทำสงครามน้ำลายระหว่างคนสองคนท่ามกลางความเงียบสงัดในยามค่ำคืน ต่างฝ่ายต่างโทษกันไปโทษกันมาอยู่อย่างนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เดรัจฉานนับสิบๆ ตัววิ่งเพ่นพล่านอยู่กลางห้องระหว่างเขาและเธอ แต่กระนั้นทั้งคู่ก็ยังคงร่วมกันค้นหารีโมทฯ เจ้ากรรมจนทั่วห้องอยู่โดยตลอด ไคลแม็กซ์ของเหตุการณ์นี้อยู่ตรงที่ ตอนที่เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำนั่นแหละ คุณเองก็รู้ดีอยู่แล้วใช่ไหม...

วินาทีที่คนรักของนพรุจยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ พร้อมกับเปล่งเสียงออกมาดังๆ แต่สั้นกระชับได้ใจความที่ขุ่นมัวในอารมณ์ว่า “อยู่นี่ไง”...เป็นวินาทีเดียวกับที่โลกแทบจะทั้งใบของนพรุจ ล้มครืนพังทลายระเนระนาดลงมาอย่างไม่เป็นท่า...ต่อหน้าต่อตาของเขา ถึงตอนนี้ ใบหน้าหัวหูของนพรุจเปลี่ยนจากซีดเผือดกลายเป็นแดงก่ำอย่างกับเทพกวนอู มันยิ่งกว่าอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีเสียอีก มันเป็นมากกว่านั้น...

ชั่ววินาทีนั้น พลันเหมือนนพรุจจะเข้าสู่ห้วงนิพพานชั่วขณะเลยทีเดียว สิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายกับว่าตอนนั้นเขามองเห็นและเข้าใจถึงความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ ไปเสียทั้งหมด ดวงตาเขามองเห็นธรรมในทันใด ว่าตัวเองนั้นตกเป็นทาสเบื้องล่างของ “มัน” ได้อย่างไร ดั่งนีโอถูกปลุกให้ฟื้นตื่นจากโลกของแมทริกซ์ แล้วค้นพบทางสว่างอย่างแท้จริงเป็นสัจธรรมดิจิตอลยังไงยังงั้น...นพรุจจึงไม่รีรออีกต่อไป ก้าวอาดๆ เดินตรงเข้าไปหาคนรักของเขา ก่อนคว้ารีโมทฯ ระยำนั่นมากำไว้ในมือแน่น จากนั้นรวบรวมพละกำลังทั้งหมดมาไว้ที่แขนขวา ก่อนเขวี้ยงมันออกไปนอกหน้าต่างอย่างสุดแรงเกิด ชั่วสามวินาทีต่อมาจึงได้ยินเสียงของมันตกกระทบลงกับพื้นถนนเบื้องล่าง แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ...เขาสาบานกับตัวเองในตอนนั้น ว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับมันอีกต่อไป...

เรื่องวุ่นๆ ทั้งหมดก็มีแค่นี้...และนั่นเป็นเหตุที่ทำให้นพรุจต้องมายืนลุกลี้ลุกลน อยู่บริเวณร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าหน้าตลาดสดในขณะนี้ หากเป็นคุณก็คงไม่ยาก แค่ชี้สิ่งที่ต้องการจะซื้อ จ่ายเงินแล้วเดินจากไปใช่ไหม แต่อย่างที่บอกนั่นแหละ...นี่นพรุจนะไม่ใช่คุณ และคุณก็ไม่ใช่นพรุจ จะหวังให้เหมือนๆ กันคงไม่ได้หรอก...เขาเป็นคนชัดเจน ไอ้เรื่องจะให้ปรับเปลี่ยนจุดยืนทางความคิดกันง่ายๆ เป็นไม้หลักปักเลนน่ะ เขาทำไม่ได้หรอก มันละอายใจเกินไป...ยิ่งจะให้คนอย่างเขาทำอะไรที่เป็นการกลืนคำพูดตัวเอง เหมือนถ่มน้ำลายรดฟ้า รอเวลาให้มันตกลงมาโดนหน้าตัวเองด้วยแล้ว เขายิ่งรับไม่ได้ใหญ่...ใช่...เขาสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า ชาตินี้จะไม่ขอยุ่งเกี่ยว จะไม่ยอมตกเป็น “ทาส” ของ “มัน” อีกครั้ง...

คิดได้ดังนั้น...เขาจึงทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้นแล้วขยี้มันด้วยปลายเท้าอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนเดินย้อนกลับไปที่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าหน้าตลาดสดนั่นอีกครั้ง เขาสบสายตากับพนักงานขายคนเดิมนิดหนึ่ง แล้วเลื่อนสายตาลงมายังตู้กระจกที่เบื้องหน้า จากนั้นจึงเปล่งเสียงออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว ชัดถ้อยและชัดคำ และแน่นอน...ต้องชัดเจนด้วย...ประโยคนั้นฟังได้ใจความว่า

“ขอซื้อรีโมทฯ ทีวีอันนี้หน่อยครับ”

........................................

(ภาพ : Anonymous ที่มา : อินเทอร์เน็ต)

All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak