เรื่องสั้น : คือคำสารภาพ
คือคำสารภาพ
ผมคือหัวใจของผู้ชายคนหนึ่ง และผมกำลังจะตาย...ผมกำลังจะหยุดเต้น รู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าเหลือเกิน...แต่ก็ดีเหมือนกัน ผมอยากจะพักอย่างแท้จริงเสียที ที่ผ่านมา ผมเดินทางมาไกลมากพอแล้ว สุขและทุกข์ เหงาเศร้าและเจ็บปวดมามากแล้ว ผมทนถูกเขากระทำมานานพอแล้ว เขาใช้ผมเสียคุ้ม ไม่เคยสนใจเลยว่าผมจะรู้สึกยังไง จะทนได้ไหม และจะต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน เขามักบอกกับผมตอนที่ก้มลงมาเช็ดน้ำตาให้อยู่เสมอๆ ว่า...“จงเต้นรำไปกับโชคชะตา - Dances with Destiny...ฟังเสียงที่ร่ำร้องอยู่ข้างในตัวเองให้ดีสิ แล้วเดินไปตามนั้น ถ้าไม่เป็นบ้าไปเสียก่อนก็กลายเป็นตำนาน...*” แล้วผมก็จะเคลิ้มไปกับเขาในทุกครั้ง
เขามักจะมีเหตุผลแปลกๆ แต่ฟังดูดีมาเกลี้ยกล่อมให้ผมคล้อยตามอยู่เสมอ เขาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าชีวิตช่างเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ว่างเปล่าและแสนสั้นนัก มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องเติมเต็มความว่างเปล่านั้น ให้เป็นไปตามความหมายอย่างที่ผมต้องการ เขาผลักภาระอันหนักอึ้งนี้มาให้ตั้งแต่ผมอายุยังน้อย ผมจึงไม่มีเวลาได้เดินเล่นกินลมชมวิวเหมือนหัวใจดวงอื่นเลย บางครั้งเขามาหาผมพร้อมกับคำถามที่ฟังดูแปลกแปร่งไม่คุ้นหู...
“เลือกเอาสิ ก่อนจะถึงลมหายใจสุดท้าย อยากจะเป็นแบบไหน อยากจะมีชีวิตหรืออยากเป็นเพียงซากชีวิต - Blank People จิตวิญญาณว่างเปล่า ศักดิ์ศรีว่างเปล่า ชีวิตที่เป็นเพียง หายใจ เดิน กิน วิ่ง นอน ทำงาน สมสู่ ก้มหน้าก้มตาทำ สั่งสมวัตถุ เงินทอง บ้านหลังใหญ่ รถคันโต เสียงชื่นชมและสายตายอมรับจากผู้คนรอบข้าง - ง่ายเพียงแค่เดินตามหลังใครๆ... หรือว่าอยากจะมีชีวิต – ชีวิตที่รู้ว่าเราต้องการอะไร รู้สึกอย่างไร สุข ทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้ โกรธ เกลียด ทุกอย่างที่อยู่ตรงข้ามกับความเคยชิน ทุกอย่างที่อาจจะไม่ง่าย... เลือกเอาสิ ว่าอยากจะใช้ชีวิตหรือจะให้ชีวิตมันใช้เอาเสียให้คุ้ม เลือกสิ ก่อนที่จะถึงลมหายใจสุดท้าย เลือกเอา...”
นั่นล่ะเขาล่ะ ผู้ชายคนนั้น...นายของผม ผู้มักมาพร้อมกับสไตล์การถามนำแบบประชดประชันเสียดสี แต่ไม่หรอก คราวนี้ผมจะไม่ยอมหลงกลเขาอีกต่อไป ครั้งนี้ผมขอยอมแพ้...ผมเหนื่อยเหลือเกิน ภาวนาขอให้ครั้งนี้เขาทำสำเร็จด้วยเถิด ผมจะได้พักผ่อนอย่างแท้จริงเสียที
ใครบางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า บนโลกนี้มีผู้ที่เจ็บปวดอยู่สองประเภท ผู้ที่เจ็บปวดจากการขาดชีวิต และผู้ที่เจ็บปวดจากการมีชีวิตที่มากเกินไป** ผมมักจะพบว่านายของผมอยู่ในประเภทที่สอง ใช่เขาจริงๆ นั่นล่ะ...ผู้ที่เจ็บปวดจากการมีชีวิต จากการใช้ชีวิตที่มากเกินไป บางครั้งเขาก็ดูเหมือนคนเป็นโรคจิต ที่ชอบพาตัวเองและผมเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม สุ่มเสี่ยงต่อความเจ็บปวดและเสียใจ รู้ทั้งรู้ก็ยังทำ ชอบแกว่งเท้าเข้าไปให้เสี้ยนมันตำเล่น บางทีเห็นความเจ็บปวดรออยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ยังบอกให้ผมรีบวิ่งเข้าใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องของความรัก เขาไม่เคยรีรอที่จะไขว่คว้าเอาวันเวลาเหล่านั้นไว้ เขาว่าความรักเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การได้เรียนรู้ที่จะรักใครสักคน เป็นการเรียนรู้เพื่อจะได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิต...
ฟังดูดีใช่ไหม...แต่นั่นมันก่อนที่เขาจะคลานสี่ขากลับมาด้วยความเจ็บปวด แล้วบอกกับทุกคนว่าเป็นความผิดของผม เป็นความผิดของหัวใจ...“หัวใจเป็นอวัยวะที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ใจคนมันไม่มีตรรกะ และตรงนั้นแหละที่จะนำมาซึ่งความสุขและความฉิบหายทั้งปวง หัวใจมีหน้าที่เรียกร้อง แล้วไม่รู้เป็นอะไร ไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะฝืนใจมันบ้าง ถึงจุดหนึ่งก็ลืมทุกอย่างและตามใจมันทุกครั้ง ตามใจและคราวนี้ก็รอลุ้น...***” แน่ะ...ดูพูดเข้า เขายังมีหน้ามาโยนความผิดให้กับผมอีก ปรักปรำกันอย่างหน้าด้านๆ ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาเองนั่นแหละที่เป็นคนตัดสินใจปิดการทำงานของสมอง - เพื่อนของผม แล้วสั่งให้ผมทำตามความต้องการของเขา จนบางทีผมก็ชักจะงงๆ อยู่เหมือนกันว่าที่จริงแล้วมันเป็นความต้องการของใครกันแน่ ของเขาหรือของผม แล้วใครเป็นนายใครกัน ผมเป็นนายเขาหรือว่าเขาเป็นนายผม...
เขาเองก็ยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ เช่นเดียวกันกับที่ยังคงตอบคำถามไอ้นกแก้วไม่ได้ ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นนายไอ้นกแก้วหรือว่าไอ้นกแก้วเป็นนายของเขากันแน่ ใครบงการใคร ใครเป็นคนนำ และใครเป็นคนตาม เพราะถ้าหากว่าคำตอบคือไอ้นกแก้วและผมเป็นไทแก่ตัวจริง มีสมองคิดและสั่งการเองได้ รวมถึงสั่งการเขาได้ด้วย นั่นหมายความว่าองค์ความรู้ทางด้านอภิปรัชญาของมนุษย์ แสงประทีปแห่งปัญญาที่คอยส่องนำทางมวลมนุษยชาติอยู่นั้น อาจถึงกาลต้องนำลงมาปัดฝุ่นสังคายนากันเสียใหม่ เพราะคำตอบที่ได้แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่า เจตจำนงเสรีของมนุษย์นั้น หาได้มีอยู่จริงไม่...
ถ้าหากว่าความรักเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของชีวิตจริงๆ นอกเหนือไปจากการงาน ความหวังและความฝัน เหมือนอย่างที่มีคนเคยกล่าวเอาไว้ ผมว่าเขาคงจะนอนตายตาหลับ เพราะที่ผ่านมาเขาได้ใช้ชีวิตเสียคุ้มค่าแล้ว สมควรแก่เวลาที่เขาจะจากไปอย่างเงียบๆ ดีกว่าอยู่ต่อไปเพื่อทำร้ายผู้บริสุทธิ์ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขา ผมว่าเขาเองก็รู้ซึ้งถึงความจริงในข้อนี้ดี จึงได้ตัดสินใจทำลงไปอย่างนั้น ช่วงวัยวันที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งยี่สิบแปดลมร้อน ยี่สิบแปดห่าฝน ยี่สิบแปดสายลมหนาว เขาเคยมีคนรักมาแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน เคยมีความรักเกิดขึ้นในหัวใจมาแล้วไม่น้อยกว่ายี่สิบครั้ง เคยสุข-ทุกข์ ดีใจ-เสียใจ รัก-ถูกรัก หักอก-อกหัก หัวเราะ-ร้องไห้ เป็นคนดี-เป็นคนเลว โง่-ฉลาด เคยทำถูก-เคยทำผิด เคยมีความสุขจนหัวใจพองโตและเคยเจ็บเจียนตาย เคยเห็นแก่ตัวและเคยเสียสละ และอีกมากมายสารพัดที่เขาเคยเป็น เคยผ่านมาแล้วจากประสบการณ์ในอดีต...
แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาจะมั่นใจได้มากขนาดนี้ ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตัวของผม ความรู้สึกที่เขามีต่อผู้หญิงคนหนึ่งคือรักแท้ และนั่นล่ะคือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม จุดเริ่มต้นของการลงทัณฑ์ที่ใครบางคนกำหนดมาให้เขาต้องชดใช้ และคือจุดจบของความรักครั้งสุดท้ายของเขา รวมถึงจุดจบของชีวิตเขาเองด้วย...
ผมคงไม่รู้ว่าคุณจะตอบยังไง หากมีใครสักคนมาถามคุณว่าคุณจะเลือกรักใคร ระหว่างคนที่เขารักคุณกับคนที่คุณรักเขา แต่ผมรู้ดีว่าเขาจะตอบอย่างไร เขาจะบอกว่ารักคนที่เขารักเรานั้นสุขเป็นอันประกันได้มากกว่าทุกข์ รักคนที่เรารักเขานั้นทุกข์เป็นอันประกันได้มากกว่าสุข เพราะไม่แน่เสมอไปว่าคนที่เรารักเขานั้น เขาจะรักเราตอบเหมือนอย่างที่เรารักเขา แต่ถึงกระนั้นผู้รู้บางท่านก็เคยกล่าวไว้ว่า “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกรักคนไหน ก็จะต้องเจอะเจอกับทุกข์อยู่ดี เขาจึงขอเลือกที่จะรักคนที่เขารักดีกว่า เพราะอย่างน้อยที่สุดเขาก็ได้เลือกเอง ได้ทำตามความรู้สึกของตัวเอง ได้รักคนที่เขาอยากจะรัก ได้ทำตามอย่างที่เสียงของหัวใจตัวเองมันร่ำร้อง เขาจะให้เหตุผลว่า ความรักนั้นเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมเหมือนภาพแอบสแตรค เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ เราจึงไม่อาจใช้เหตุผลหรือตรรกะใดๆ ไปอธิบายในเรื่องของความรักได้หรอก ความรักไม่มีถูกมีผิด มีแต่รัก รักคือรัก มันเป็นเรื่องของชะตากรรม ความรักไม่เคยทำร้ายใคร คนเราต่างหากที่ทำร้ายกัน...
หากผมถามคุณว่าในเรื่องของความรัก คนเราควรใช้ Head นำ Heart หรือใช้ Heart นำ Head คุณจะตอบว่าไง แต่ถ้าเรานำคำถามนี้ไปถามคนที่ฉลาดสักหน่อยเขาอาจตอบว่า ทางสายกลาง...หาจุดกึ่งกลาง หาความพอดีให้เจอ แล้วก็ใช้มันอย่างละครึ่ง ไม่ต้องให้ใครนำใครหรอก ให้มันเดินไปพร้อมๆ กัน แต่แน่นอนล่ะถ้าคุณไปถามเขา เขาจะตอบว่า “ฟังเสียงของหัวใจตัวเองให้ดีสิ แล้วเดินไปตามนั้น อย่ากลัวที่จะเจ็บปวด อย่ากลัวที่จะได้เรียนรู้ว่าความรักคืออะไร อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป ได้มีโอกาสเรียนรู้แม้เพียงครั้งว่าความรักที่แท้จริงนั้นคือสิ่งใดกัน ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว จำไว้ว่า ความรักนั้นเปรียบเสมือนม้าพยศที่ไร้บังเหียน ถ้าเธออยากรู้ว่าคนไหน ใช่หรือไม่ใช่ คนๆ นั้นที่เธอเฝ้ารออยู่ ลองถามตัวเองให้ดีสิ ถึงเหตุผลที่ทำให้เธอรักเขา ถ้าเธอหาเหตุผลดีๆ ให้ตัวเองได้สักสองสามข้อนั่นก็ยังธรรมดาอยู่ แต่ถ้าเจอใครบางคนที่เธอไม่สามารถหาเหตุผลให้กับตัวเองได้สักข้อแล้วล่ะก็ รีบไขว่คว้าเขาคนนั้นเอาไว้ให้ดีเชียวล่ะ เพราะเธออาจไม่มีโอกาสอีกเป็นหนที่สอง...” ฮะ ฮะ ฮะ นั่นล่ะ คำแนะนำในแบบของเขา แต่นั่นอาจจะเป็นข้อดีที่สุดเพียงข้อเดียวเท่าที่เขามีอยู่ก็เป็นได้ เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่เขาทำและทำในสิ่งที่เขาเชื่อ และมันคือที่มาของเรื่องราวโศกนาฏกรรมรักของเขา เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองเดือน
ก่อน...
เย็นวันนั้นเขานัดเจอเธอที่หน้าโรงหนังลิโดบริเวณสยามสแควร์ เพื่อเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังเธอเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือเขาไว้ในเรื่องงาน เพราะงานที่เขาทำมีความจำเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับบริษัทที่เธอทำงานอยู่ ก่อนนั้นเขาเคยเจอเธอแวบนึงแล้วที่ที่ทำงานของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนอกสนใจอะไรเธอเป็นพิเศษนัก นอกจากกล่าวคำขอบคุณสำหรับสิ่งของที่เธอนำมาให้ เพราะเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงผิวขาว หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษเลย หลังจากวันนั้นเขามีโอกาสได้โทรฯไปหาเธอบ้างเพื่อปรึกษาเรื่องงาน และยิ่งถี่มากขึ้นเมื่อเขามีเรื่องให้เธอต้องช่วยเหลือ การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่นและเริ่มออกอรรถรสมากยิ่งขึ้นตามจำนวนครั้งที่ได้คุย ต่างฝ่ายต่างพูดคุยถูกคอกันตามประสาเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากชวนเธอไปกินข้าวดูหนัง...
การนัดหมายเป็นไปอย่างเรียบง่าย เขามาถึงก่อนจึงรีบขึ้นไปจองตั๋วหนังเอาไว้สองที่ แล้วกลับมายืนรอเธอตรงที่เดิม ไม่นานนักเธอก็มาถึงพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน ยังจำได้ว่าด้วยความเป็นคนปากไว เพียงเจอหน้ากันครั้งแรกเขาก็เผลอทักเธอว่าแต่งหน้าเข้มเกินไป ดูไม่เหมาะกับบุคลิกเอาเสียเลย เธออายจนหูแดงก่อนรีบยกไม้ยกมือเช็ดเครื่องสำอางออกเป็นการใหญ่ เขาเพิ่งมารู้ในภายหลังว่าที่เธอแต่งหน้าเข้มเพราะตั้งใจจะเบี้ยวดูหนังกับเขาแล้วไปเที่ยวต่อกับเพื่อนๆ แทน...
หลังเสร็จสิ้นจากมื้ออาหารตรงหน้าแล้ว เขาและเธอจึงแยกตัวออกมาเพื่อไปดูหนัง เธอบอกเพื่อนๆ ให้ล่วงหน้าไปที่ร้านก่อน ดูหนังเสร็จแล้วเธอจะตามไป แต่สุดท้ายคืนนั้นเธอก็ไม่ได้ไปตามที่รับปากเพื่อนๆ ไว้ จะเป็นด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาฟ้าดินกำหนดมาก็มิอาจทราบได้ หนังที่พอจะมีความน่าดูอยู่บ้างสำหรับนักบริโภคภาพยนตร์อย่างเขา ที่ลงโรงฉายอยู่ในช่วงปลายสัปดาห์นั้นมีอยู่เพียงเรื่องเดียว ซึ่งเป็นหนังผีจากประเทศเกาหลี พอหนังเริ่มฉายไปได้เพียงสิบกว่านาทีก็เริ่มส่อแววว่าจะน่ากลัวมากกว่าที่คิดไว้ บรรยากาศภายในโรงก็ชักจะอึมครึม ทุกคนนั่งตัวแข็งเกร็งเงียบกริบ สายตาจดจ้องไปกับภาพตรงหน้า ติดตามเรื่องราวลุ้นระทึกว่าจะถึงฉากน่ากลัวที่มาช็อคปลายประสาทให้เขม็งเกลียวขนหัวลุกชันเมื่อไหร่ จะได้ไหวตัวหลบหลีกระมัดระวังทัน เขาหันไปดูก็เห็นว่าเธอเองชักจะมีท่าทีแปลกๆ จากที่เคยนั่งตัวตรงตั้งใจดูก็เริ่มเอียงตัวแทบจะหันข้างให้จออยู่แล้ว ขดตัวห่อไหล่ให้เล็กลีบเหลือตัวนิดเดียว แถมยังเอาฝ่ามือมากางปิดตาไว้อีก แง้มเป็นช่องเล็กๆ ไว้ระหว่างง่ามนิ้วพอให้มองเห็น ประมาณว่าถ้าถึงฉากอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจให้เรรวนเมื่อไหร่ เธอก็พร้อมที่จะปิดมันลงในทันทีทันใดเพื่อยุติการรับรู้เรื่องราวที่ตรงหน้าเพียงชั่วขณะ
ลักษณาการดังกล่าวก่อให้เกิดความรู้สึกขุ่นมัว หงุดหงิดและรำคาญขึ้นในหัวใจของชายผู้รักภาพยนตร์ ที่เสียเงินตีตั๋วเข้ามาดูหนังเพื่อเสพอารมณ์และอรรถรสต่างๆ อย่างเขาเป็นอันมาก เมื่ออดรนทนไม่ไหวเขาจึงตัดสินใจยื่นแขนออกไปคว้าข้อมือของเธอมากุมไว้ หมายให้เธอหมดหนทางปัดป้องตัวเองจากเรื่องราวตรงหน้า พลางกระซิบเบาๆ กับเธอว่า “ตั้งใจดูสิ หนังสนุกออก” เธอมีท่าทีแข็งขืนเล็กน้อย พยายามฝืนตัวดึงข้อมือที่ถูกเขาพันธนาการไว้กลับไป แต่การณ์กลับกลายเป็นว่ามือของเขาที่จับอยู่ตรงข้อมือขวาของเธอ กลับเลื่อนลงมาสัมผัสกับฝ่ามืออันอ่อนนุ่มและกุมเอาไว้แน่นอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน...
แล้วในวินาทีนั้น...ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยก็เริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขา มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยากที่จะระบุลงไปได้ว่าคือสิ่งใด รู้แต่ว่าไม่เคยพบเจอความรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย วางใจและเติมเต็ม...ความรู้และประสบการณ์ในอดีตไม่สามารถให้ความกระจ่างกับเขาได้ เขารู้เพียงว่ายี่สิบแปดปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีมือข้างไหนส่งผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปยังหัวใจของเขามาก่อน... ฉากน่ากลัวผ่านพ้นไปแล้ว เธอค่อยๆ คลายมือออกจากการยึดกุมของเขา คราวนี้เขายินยอมปล่อยมันไปแต่โดยดี ด้วยไม่มีข้ออ้างใดๆ แล้วที่จะทำอย่างนั้นต่อไป แต่แล้วเมื่อถึงคราที่ฉากน่ากลัววกกลับมาอีกครั้ง ลักษณาการเดิมๆ ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่างกันก็ตรงที่คราวนี้มือคู่นั้นไม่เคยคลายออกจากกันและกันอีกเลย...
ห้าทุ่มกว่า...หนังจบลงด้วยความขนพองสยองเกล้า ใจยังเต้นรัวไม่หายและความรู้สึกบางอย่างยังคงค้างคา ทั้งสองเดินออกมาจากโรงหนัง แต่ทั้งเขาและเธอต่างก็ยังอิดออดที่จะร่ำลาจากกันในเวลาอันรวดเร็วเพียงนี้ จึงตกลงกันว่าจะไปหาร้านเล็กๆ เงียบๆ ที่เปิดเพลงเบาๆ นั่งดื่มกินและพูดคุยกันต่ออีกสักพัก รถเคลื่อนตัวออกจากที่จอดอย่างช้าๆ เหมือนอยากจะให้เวลาในคืนนี้ยืดยาวออกไปอีกนานเท่านาน ทั้งคู่ยังคงขับรถวนไปเวียนมาอย่างไร้จุดหมาย ด้วยต่างก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายตัดสินใจเลือกร้าน แต่กว่าจะไปถึงก็เสียเวลาขับวนอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เขาสั่งเบียร์มากลั้วคอ ส่วนเธอสั่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่อ่อนๆ นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะ ซักถามเรื่องส่วนตัวของกันและกันอยู่ได้ไม่นาน ก็จำใจต้องเช็คบิลเปลี่ยนไปร้านใหม่ ด้วยที่นั่นเปิดเพลงดังเกินกว่าที่จะพูดคุยกันรู้เรื่อง
คราวนี้เธอเป็นฝ่ายเลือกร้านบ้าง มันเป็นร้านเล็กๆ บรรยากาศดีเหมาะแก่การนั่งคุยกัน เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว ทั้งร้านจึงเหลือพวกเขาอยู่เพียงโต๊ะเดียว ทั้งคู่พยายามหาเรื่องมาพูดคุยกันเพื่อทำลายความเงียบงันอันน่าอึดอัด แต่ในบางครั้งต่างก็ดิ่งลึกลงสู่โลกส่วนตัวภายใน พูดคุยกับตัวเอง ขบคิดถึงปมปัญหาบางอย่าง ใคร่ครวญและหาเหตุผลมาโต้แย้งกับสำนึกของตัวเอง ต่อสู้กับความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในจิตใจ บางหนเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากันด้วยความบังเอิญ ต่างก็ยิ้มให้แก่กันอย่างเก้อเขิน ไม่นานนักก็ถึงเวลาต้องปิดร้าน จำใจจ่ายตังค์แล้วลุกเดินออกไปขึ้นรถ แต่แล้วด้วยอะไรบางอย่างที่ดึงดูดคนทั้งคู่ให้เข้าหากัน รถจึงเคลื่อนตัวออกไปโดยมีจุดหมายอยู่ที่ฟู๊ดแลนด์สาขาที่ใกล้ที่สุด โดยต่างก็หวังเพียงว่าอยากจะต่อเวลาให้ค่ำคืนนี้ยาวนานออกไปอีกแม้เพียงนิด...หลังจากจัดการกับอาหารมื้อกึ่งดึกกึ่งเช้าเสร็จ เขาและเธอก็กล่าวคำอำลาแก่กันในเวลาเกือบตีสี่ ก่อนนอนวันนั้นเขาได้รับเมสเสจจากเธอ เป็นการขอบคุณสำหรับหนังผีเรื่องนั้น เขากดอ่านมันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วนอนหลับไปด้วยความรู้สึกสุขใจ...
เรื่องทั้งหมดน่าจะจบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เมื่อโชคชะตากำหนดให้คนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยเกี่ยวพันกันไม่ว่าจะในด้านไหน ต้องโคจรมาพบกัน ตกหลุมรักกันและกัน และต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งคือจิตวิญญาณส่วนที่ขาดหายไปของตัวเอง ถ้าหากเพียงแต่ว่าทั้งเขาและเธอจะไม่ได้มีคนรักอยู่ก่อนแล้วทั้งคู่... หลังจากวันนั้นเขาและเธอยังคงนัดเจอ ไปกินไปเที่ยวดูหนังฟังเพลงด้วยกันอีกหลายครั้ง แต่ก็เป็นไปด้วยความรู้สึกคลุมเครือ กระอักกระอ่วนใจ มันทั้งสุขและทุกข์ระคนกัน เพราะต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นผิด มันเป็นการทำร้ายความรู้สึกของบุคคลที่สามซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วย...ครั้งหนึ่งเขาเคยเอ่ยถามเธอว่า เคยไหมเวลาที่อยู่กับใครบางคนแล้วมันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เธอนิ่งไป ก่อนตอบกับเขาว่า “เคย...ตอนที่อยู่กับคุณไง” ผมยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ดี...
ช่วงนั้นเขาผ่านพ้นแต่ละคืนวันในชีวิตไปด้วยความยากลำบาก คืนแล้วคืนเล่าที่เขาเมามายหลับใหลไปอย่างไร้สติ เขาต้องรับมือกับความว้าวุ่น สับสน และทางออกที่ดูจะมืดมิดอับจน ในที่สุดเมื่อทนอยู่กับการหลอกลวงและความรู้สึกผิดในจิตใจต่อไปไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจพาผมก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งแห่งศีลธรรมอันดีงามทั้งหลายทั้งปวง เขาฉีกกฎทุกกฎทิ้ง ขยี้ทำลายทุกกรอบเกณฑ์ความเชื่อลงจนป่นปี้เป็นผุยผงไม่มีชิ้นดี เขาหันหลังให้กับถ้อยคำประณามหยามหมิ่น ไม่แยแสกับสิ่งใดๆ รอบตัวอีกต่อไป เพื่อความรักแล้วเขายินดีสละได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิต...
เขาตัดสินใจบอกความจริงทั้งหมดกับคนรักของเขา หล่อนรับฟังด้วยน้ำตานองหน้า เขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน นึกเกลียดตัวเองที่เป็นคนแบบนี้ ด่าทอโชคชะตาที่กลั่นแกล้งให้เขาต้องมาตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ขันขื่น ที่ชักนำให้เขามาเจอเธอในเวลาที่สายเกินไป... ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็แยกทางกับคนรักของเขา เขาเลือกที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองและซื่อสัตย์กับคนรักของเขาอย่างถึงที่สุด เพราะเขาไม่อยากที่จะหลอกลวงด้วยการอยู่กับหล่อนเพียงตัวแต่ใจไปอยู่กับคนอื่นอีกต่อไป...
แล้วเขาก็กลายมาเป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีครั้งไหนในชีวิตที่เขาจะเลวได้มากเท่านี้อีกแล้ว...เรื่องน่าจะจบลงด้วยดีใช่ไหมครับ ถ้าหากเพียงแต่ว่าเธอคนนั้นจะตัดสินใจทำในแบบเดียวกันกับเขา...บอกเลิกกับคนรักเก่าหันมาคบกับเขา แล้วก็ครองรักกันไปตราบจนชั่วฟ้าดินสลายเหมือนอย่างในนิยาย...แต่...ฮะ ฮะ ฮะ...แน่นอนครับ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก เพราะไม่เช่นนั้นแล้วผมจะมานอนกองอยู่กับพื้น หายใจระรินอยู่อย่างนี้ได้ยังไง...เธอตัดสินใจอยู่เหมือนกันครับ เพียงแต่คนที่เธอตัดสินใจบอกเลิกนั้น ไม่ใช่คนรักเก่าที่อยู่เมืองนอก แถมยังไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสามปีแล้ว แต่กลับเป็น “เขา” ผู้ที่ยอมทิ้งทุกอย่างมา เพราะหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับเธอ
ฮะ ฮะ ฮะ...มันเป็นตอนจบที่โคตรจะสะใจผมเลยครับ คนเลวๆ อย่างเขาสมควรแล้วที่จะได้รับจุดจบแบบนี้ แต่แปลกแฮะ...คราวนี้ไม่เห็นว่าเขาจะร้องไห้ฟูมฟายเหมือนอย่างเคย รู้สึกว่าแวบหนึ่งผมจะแอบเห็นรอยยิ้มในแววตาของเขาด้วยซ้ำไป ครั้งนี้ดูเขานิ่งและสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...เขากระซิบกับผมว่ามันเป็นเรื่องของ “ชะตากรรม” และ “การลงทัณฑ์” เป็นเวลาที่เขาจะต้องชดใช้กรรมที่ตัวเองเคยก่อเอาไว้กับผู้หญิงคนอื่นๆ เขาว่ามันเป็นการลงโทษที่สาสมดีแล้ว เขาสมควรที่จะได้รับในสิ่งนี้ เขายังบอกอีกว่า เขาไม่นึกโกรธเธอคนนั้นหรอก เธอเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ทำทุกอย่างไปด้วยความไม่รู้ เธอเป็นเพียงเครื่องมือของใครบางคนในการลงโทษเขาเท่านั้น เขาชื่นชมในความรักอันยิ่งใหญ่ของเธอ เธอตัดสินใจถูกต้องแล้วที่เลือกคนรักเก่าแทนที่จะเป็นเขา เขายินดีไปกับเธอด้วย เขายังบอกกับผมอีกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะยอมให้กับมัน - ชะตากรรม... ชีวิตนี้เขาเกิดมา อาจจะยอมให้กับอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่มัน เขาไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อก้มหน้ายอมรับชะตากรรม...ก่อนที่จะหมดสติไป ผมได้ยินเขาสบถออกมาเบาๆ เป็นครั้งสุดท้ายว่า...“_uck Destiny ! ”
ฮะ ฮะ ฮะ...ฮะ ฮะ ฮะ...ฮะ ฮะ ฮะ...นั่นล่ะครับ เรื่องราวของเขา...
ผมคือหัวใจของผู้ชายคนหนึ่ง...และผมกำลังจะตาย.
...................................................
(ภาพ : Anonymous ที่มา : http://www.fultonstreetgallery.org/exhibits/nature's%20elements/art/halakan/Sincere%20Confession.jpg)
All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak
ผมคือหัวใจของผู้ชายคนหนึ่ง และผมกำลังจะตาย...ผมกำลังจะหยุดเต้น รู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าเหลือเกิน...แต่ก็ดีเหมือนกัน ผมอยากจะพักอย่างแท้จริงเสียที ที่ผ่านมา ผมเดินทางมาไกลมากพอแล้ว สุขและทุกข์ เหงาเศร้าและเจ็บปวดมามากแล้ว ผมทนถูกเขากระทำมานานพอแล้ว เขาใช้ผมเสียคุ้ม ไม่เคยสนใจเลยว่าผมจะรู้สึกยังไง จะทนได้ไหม และจะต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน เขามักบอกกับผมตอนที่ก้มลงมาเช็ดน้ำตาให้อยู่เสมอๆ ว่า...“จงเต้นรำไปกับโชคชะตา - Dances with Destiny...ฟังเสียงที่ร่ำร้องอยู่ข้างในตัวเองให้ดีสิ แล้วเดินไปตามนั้น ถ้าไม่เป็นบ้าไปเสียก่อนก็กลายเป็นตำนาน...*” แล้วผมก็จะเคลิ้มไปกับเขาในทุกครั้ง
เขามักจะมีเหตุผลแปลกๆ แต่ฟังดูดีมาเกลี้ยกล่อมให้ผมคล้อยตามอยู่เสมอ เขาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าชีวิตช่างเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ว่างเปล่าและแสนสั้นนัก มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องเติมเต็มความว่างเปล่านั้น ให้เป็นไปตามความหมายอย่างที่ผมต้องการ เขาผลักภาระอันหนักอึ้งนี้มาให้ตั้งแต่ผมอายุยังน้อย ผมจึงไม่มีเวลาได้เดินเล่นกินลมชมวิวเหมือนหัวใจดวงอื่นเลย บางครั้งเขามาหาผมพร้อมกับคำถามที่ฟังดูแปลกแปร่งไม่คุ้นหู...
“เลือกเอาสิ ก่อนจะถึงลมหายใจสุดท้าย อยากจะเป็นแบบไหน อยากจะมีชีวิตหรืออยากเป็นเพียงซากชีวิต - Blank People จิตวิญญาณว่างเปล่า ศักดิ์ศรีว่างเปล่า ชีวิตที่เป็นเพียง หายใจ เดิน กิน วิ่ง นอน ทำงาน สมสู่ ก้มหน้าก้มตาทำ สั่งสมวัตถุ เงินทอง บ้านหลังใหญ่ รถคันโต เสียงชื่นชมและสายตายอมรับจากผู้คนรอบข้าง - ง่ายเพียงแค่เดินตามหลังใครๆ... หรือว่าอยากจะมีชีวิต – ชีวิตที่รู้ว่าเราต้องการอะไร รู้สึกอย่างไร สุข ทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้ โกรธ เกลียด ทุกอย่างที่อยู่ตรงข้ามกับความเคยชิน ทุกอย่างที่อาจจะไม่ง่าย... เลือกเอาสิ ว่าอยากจะใช้ชีวิตหรือจะให้ชีวิตมันใช้เอาเสียให้คุ้ม เลือกสิ ก่อนที่จะถึงลมหายใจสุดท้าย เลือกเอา...”
นั่นล่ะเขาล่ะ ผู้ชายคนนั้น...นายของผม ผู้มักมาพร้อมกับสไตล์การถามนำแบบประชดประชันเสียดสี แต่ไม่หรอก คราวนี้ผมจะไม่ยอมหลงกลเขาอีกต่อไป ครั้งนี้ผมขอยอมแพ้...ผมเหนื่อยเหลือเกิน ภาวนาขอให้ครั้งนี้เขาทำสำเร็จด้วยเถิด ผมจะได้พักผ่อนอย่างแท้จริงเสียที
ใครบางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า บนโลกนี้มีผู้ที่เจ็บปวดอยู่สองประเภท ผู้ที่เจ็บปวดจากการขาดชีวิต และผู้ที่เจ็บปวดจากการมีชีวิตที่มากเกินไป** ผมมักจะพบว่านายของผมอยู่ในประเภทที่สอง ใช่เขาจริงๆ นั่นล่ะ...ผู้ที่เจ็บปวดจากการมีชีวิต จากการใช้ชีวิตที่มากเกินไป บางครั้งเขาก็ดูเหมือนคนเป็นโรคจิต ที่ชอบพาตัวเองและผมเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม สุ่มเสี่ยงต่อความเจ็บปวดและเสียใจ รู้ทั้งรู้ก็ยังทำ ชอบแกว่งเท้าเข้าไปให้เสี้ยนมันตำเล่น บางทีเห็นความเจ็บปวดรออยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ยังบอกให้ผมรีบวิ่งเข้าใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องของความรัก เขาไม่เคยรีรอที่จะไขว่คว้าเอาวันเวลาเหล่านั้นไว้ เขาว่าความรักเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การได้เรียนรู้ที่จะรักใครสักคน เป็นการเรียนรู้เพื่อจะได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิต...
ฟังดูดีใช่ไหม...แต่นั่นมันก่อนที่เขาจะคลานสี่ขากลับมาด้วยความเจ็บปวด แล้วบอกกับทุกคนว่าเป็นความผิดของผม เป็นความผิดของหัวใจ...“หัวใจเป็นอวัยวะที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ใจคนมันไม่มีตรรกะ และตรงนั้นแหละที่จะนำมาซึ่งความสุขและความฉิบหายทั้งปวง หัวใจมีหน้าที่เรียกร้อง แล้วไม่รู้เป็นอะไร ไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะฝืนใจมันบ้าง ถึงจุดหนึ่งก็ลืมทุกอย่างและตามใจมันทุกครั้ง ตามใจและคราวนี้ก็รอลุ้น...***” แน่ะ...ดูพูดเข้า เขายังมีหน้ามาโยนความผิดให้กับผมอีก ปรักปรำกันอย่างหน้าด้านๆ ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาเองนั่นแหละที่เป็นคนตัดสินใจปิดการทำงานของสมอง - เพื่อนของผม แล้วสั่งให้ผมทำตามความต้องการของเขา จนบางทีผมก็ชักจะงงๆ อยู่เหมือนกันว่าที่จริงแล้วมันเป็นความต้องการของใครกันแน่ ของเขาหรือของผม แล้วใครเป็นนายใครกัน ผมเป็นนายเขาหรือว่าเขาเป็นนายผม...
เขาเองก็ยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ เช่นเดียวกันกับที่ยังคงตอบคำถามไอ้นกแก้วไม่ได้ ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นนายไอ้นกแก้วหรือว่าไอ้นกแก้วเป็นนายของเขากันแน่ ใครบงการใคร ใครเป็นคนนำ และใครเป็นคนตาม เพราะถ้าหากว่าคำตอบคือไอ้นกแก้วและผมเป็นไทแก่ตัวจริง มีสมองคิดและสั่งการเองได้ รวมถึงสั่งการเขาได้ด้วย นั่นหมายความว่าองค์ความรู้ทางด้านอภิปรัชญาของมนุษย์ แสงประทีปแห่งปัญญาที่คอยส่องนำทางมวลมนุษยชาติอยู่นั้น อาจถึงกาลต้องนำลงมาปัดฝุ่นสังคายนากันเสียใหม่ เพราะคำตอบที่ได้แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่า เจตจำนงเสรีของมนุษย์นั้น หาได้มีอยู่จริงไม่...
ถ้าหากว่าความรักเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของชีวิตจริงๆ นอกเหนือไปจากการงาน ความหวังและความฝัน เหมือนอย่างที่มีคนเคยกล่าวเอาไว้ ผมว่าเขาคงจะนอนตายตาหลับ เพราะที่ผ่านมาเขาได้ใช้ชีวิตเสียคุ้มค่าแล้ว สมควรแก่เวลาที่เขาจะจากไปอย่างเงียบๆ ดีกว่าอยู่ต่อไปเพื่อทำร้ายผู้บริสุทธิ์ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขา ผมว่าเขาเองก็รู้ซึ้งถึงความจริงในข้อนี้ดี จึงได้ตัดสินใจทำลงไปอย่างนั้น ช่วงวัยวันที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งยี่สิบแปดลมร้อน ยี่สิบแปดห่าฝน ยี่สิบแปดสายลมหนาว เขาเคยมีคนรักมาแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน เคยมีความรักเกิดขึ้นในหัวใจมาแล้วไม่น้อยกว่ายี่สิบครั้ง เคยสุข-ทุกข์ ดีใจ-เสียใจ รัก-ถูกรัก หักอก-อกหัก หัวเราะ-ร้องไห้ เป็นคนดี-เป็นคนเลว โง่-ฉลาด เคยทำถูก-เคยทำผิด เคยมีความสุขจนหัวใจพองโตและเคยเจ็บเจียนตาย เคยเห็นแก่ตัวและเคยเสียสละ และอีกมากมายสารพัดที่เขาเคยเป็น เคยผ่านมาแล้วจากประสบการณ์ในอดีต...
แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาจะมั่นใจได้มากขนาดนี้ ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตัวของผม ความรู้สึกที่เขามีต่อผู้หญิงคนหนึ่งคือรักแท้ และนั่นล่ะคือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม จุดเริ่มต้นของการลงทัณฑ์ที่ใครบางคนกำหนดมาให้เขาต้องชดใช้ และคือจุดจบของความรักครั้งสุดท้ายของเขา รวมถึงจุดจบของชีวิตเขาเองด้วย...
ผมคงไม่รู้ว่าคุณจะตอบยังไง หากมีใครสักคนมาถามคุณว่าคุณจะเลือกรักใคร ระหว่างคนที่เขารักคุณกับคนที่คุณรักเขา แต่ผมรู้ดีว่าเขาจะตอบอย่างไร เขาจะบอกว่ารักคนที่เขารักเรานั้นสุขเป็นอันประกันได้มากกว่าทุกข์ รักคนที่เรารักเขานั้นทุกข์เป็นอันประกันได้มากกว่าสุข เพราะไม่แน่เสมอไปว่าคนที่เรารักเขานั้น เขาจะรักเราตอบเหมือนอย่างที่เรารักเขา แต่ถึงกระนั้นผู้รู้บางท่านก็เคยกล่าวไว้ว่า “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกรักคนไหน ก็จะต้องเจอะเจอกับทุกข์อยู่ดี เขาจึงขอเลือกที่จะรักคนที่เขารักดีกว่า เพราะอย่างน้อยที่สุดเขาก็ได้เลือกเอง ได้ทำตามความรู้สึกของตัวเอง ได้รักคนที่เขาอยากจะรัก ได้ทำตามอย่างที่เสียงของหัวใจตัวเองมันร่ำร้อง เขาจะให้เหตุผลว่า ความรักนั้นเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมเหมือนภาพแอบสแตรค เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ เราจึงไม่อาจใช้เหตุผลหรือตรรกะใดๆ ไปอธิบายในเรื่องของความรักได้หรอก ความรักไม่มีถูกมีผิด มีแต่รัก รักคือรัก มันเป็นเรื่องของชะตากรรม ความรักไม่เคยทำร้ายใคร คนเราต่างหากที่ทำร้ายกัน...
หากผมถามคุณว่าในเรื่องของความรัก คนเราควรใช้ Head นำ Heart หรือใช้ Heart นำ Head คุณจะตอบว่าไง แต่ถ้าเรานำคำถามนี้ไปถามคนที่ฉลาดสักหน่อยเขาอาจตอบว่า ทางสายกลาง...หาจุดกึ่งกลาง หาความพอดีให้เจอ แล้วก็ใช้มันอย่างละครึ่ง ไม่ต้องให้ใครนำใครหรอก ให้มันเดินไปพร้อมๆ กัน แต่แน่นอนล่ะถ้าคุณไปถามเขา เขาจะตอบว่า “ฟังเสียงของหัวใจตัวเองให้ดีสิ แล้วเดินไปตามนั้น อย่ากลัวที่จะเจ็บปวด อย่ากลัวที่จะได้เรียนรู้ว่าความรักคืออะไร อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป ได้มีโอกาสเรียนรู้แม้เพียงครั้งว่าความรักที่แท้จริงนั้นคือสิ่งใดกัน ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว จำไว้ว่า ความรักนั้นเปรียบเสมือนม้าพยศที่ไร้บังเหียน ถ้าเธออยากรู้ว่าคนไหน ใช่หรือไม่ใช่ คนๆ นั้นที่เธอเฝ้ารออยู่ ลองถามตัวเองให้ดีสิ ถึงเหตุผลที่ทำให้เธอรักเขา ถ้าเธอหาเหตุผลดีๆ ให้ตัวเองได้สักสองสามข้อนั่นก็ยังธรรมดาอยู่ แต่ถ้าเจอใครบางคนที่เธอไม่สามารถหาเหตุผลให้กับตัวเองได้สักข้อแล้วล่ะก็ รีบไขว่คว้าเขาคนนั้นเอาไว้ให้ดีเชียวล่ะ เพราะเธออาจไม่มีโอกาสอีกเป็นหนที่สอง...” ฮะ ฮะ ฮะ นั่นล่ะ คำแนะนำในแบบของเขา แต่นั่นอาจจะเป็นข้อดีที่สุดเพียงข้อเดียวเท่าที่เขามีอยู่ก็เป็นได้ เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่เขาทำและทำในสิ่งที่เขาเชื่อ และมันคือที่มาของเรื่องราวโศกนาฏกรรมรักของเขา เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองเดือน
ก่อน...
เย็นวันนั้นเขานัดเจอเธอที่หน้าโรงหนังลิโดบริเวณสยามสแควร์ เพื่อเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังเธอเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือเขาไว้ในเรื่องงาน เพราะงานที่เขาทำมีความจำเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับบริษัทที่เธอทำงานอยู่ ก่อนนั้นเขาเคยเจอเธอแวบนึงแล้วที่ที่ทำงานของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนอกสนใจอะไรเธอเป็นพิเศษนัก นอกจากกล่าวคำขอบคุณสำหรับสิ่งของที่เธอนำมาให้ เพราะเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงผิวขาว หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษเลย หลังจากวันนั้นเขามีโอกาสได้โทรฯไปหาเธอบ้างเพื่อปรึกษาเรื่องงาน และยิ่งถี่มากขึ้นเมื่อเขามีเรื่องให้เธอต้องช่วยเหลือ การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่นและเริ่มออกอรรถรสมากยิ่งขึ้นตามจำนวนครั้งที่ได้คุย ต่างฝ่ายต่างพูดคุยถูกคอกันตามประสาเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากชวนเธอไปกินข้าวดูหนัง...
การนัดหมายเป็นไปอย่างเรียบง่าย เขามาถึงก่อนจึงรีบขึ้นไปจองตั๋วหนังเอาไว้สองที่ แล้วกลับมายืนรอเธอตรงที่เดิม ไม่นานนักเธอก็มาถึงพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน ยังจำได้ว่าด้วยความเป็นคนปากไว เพียงเจอหน้ากันครั้งแรกเขาก็เผลอทักเธอว่าแต่งหน้าเข้มเกินไป ดูไม่เหมาะกับบุคลิกเอาเสียเลย เธออายจนหูแดงก่อนรีบยกไม้ยกมือเช็ดเครื่องสำอางออกเป็นการใหญ่ เขาเพิ่งมารู้ในภายหลังว่าที่เธอแต่งหน้าเข้มเพราะตั้งใจจะเบี้ยวดูหนังกับเขาแล้วไปเที่ยวต่อกับเพื่อนๆ แทน...
หลังเสร็จสิ้นจากมื้ออาหารตรงหน้าแล้ว เขาและเธอจึงแยกตัวออกมาเพื่อไปดูหนัง เธอบอกเพื่อนๆ ให้ล่วงหน้าไปที่ร้านก่อน ดูหนังเสร็จแล้วเธอจะตามไป แต่สุดท้ายคืนนั้นเธอก็ไม่ได้ไปตามที่รับปากเพื่อนๆ ไว้ จะเป็นด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาฟ้าดินกำหนดมาก็มิอาจทราบได้ หนังที่พอจะมีความน่าดูอยู่บ้างสำหรับนักบริโภคภาพยนตร์อย่างเขา ที่ลงโรงฉายอยู่ในช่วงปลายสัปดาห์นั้นมีอยู่เพียงเรื่องเดียว ซึ่งเป็นหนังผีจากประเทศเกาหลี พอหนังเริ่มฉายไปได้เพียงสิบกว่านาทีก็เริ่มส่อแววว่าจะน่ากลัวมากกว่าที่คิดไว้ บรรยากาศภายในโรงก็ชักจะอึมครึม ทุกคนนั่งตัวแข็งเกร็งเงียบกริบ สายตาจดจ้องไปกับภาพตรงหน้า ติดตามเรื่องราวลุ้นระทึกว่าจะถึงฉากน่ากลัวที่มาช็อคปลายประสาทให้เขม็งเกลียวขนหัวลุกชันเมื่อไหร่ จะได้ไหวตัวหลบหลีกระมัดระวังทัน เขาหันไปดูก็เห็นว่าเธอเองชักจะมีท่าทีแปลกๆ จากที่เคยนั่งตัวตรงตั้งใจดูก็เริ่มเอียงตัวแทบจะหันข้างให้จออยู่แล้ว ขดตัวห่อไหล่ให้เล็กลีบเหลือตัวนิดเดียว แถมยังเอาฝ่ามือมากางปิดตาไว้อีก แง้มเป็นช่องเล็กๆ ไว้ระหว่างง่ามนิ้วพอให้มองเห็น ประมาณว่าถ้าถึงฉากอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจให้เรรวนเมื่อไหร่ เธอก็พร้อมที่จะปิดมันลงในทันทีทันใดเพื่อยุติการรับรู้เรื่องราวที่ตรงหน้าเพียงชั่วขณะ
ลักษณาการดังกล่าวก่อให้เกิดความรู้สึกขุ่นมัว หงุดหงิดและรำคาญขึ้นในหัวใจของชายผู้รักภาพยนตร์ ที่เสียเงินตีตั๋วเข้ามาดูหนังเพื่อเสพอารมณ์และอรรถรสต่างๆ อย่างเขาเป็นอันมาก เมื่ออดรนทนไม่ไหวเขาจึงตัดสินใจยื่นแขนออกไปคว้าข้อมือของเธอมากุมไว้ หมายให้เธอหมดหนทางปัดป้องตัวเองจากเรื่องราวตรงหน้า พลางกระซิบเบาๆ กับเธอว่า “ตั้งใจดูสิ หนังสนุกออก” เธอมีท่าทีแข็งขืนเล็กน้อย พยายามฝืนตัวดึงข้อมือที่ถูกเขาพันธนาการไว้กลับไป แต่การณ์กลับกลายเป็นว่ามือของเขาที่จับอยู่ตรงข้อมือขวาของเธอ กลับเลื่อนลงมาสัมผัสกับฝ่ามืออันอ่อนนุ่มและกุมเอาไว้แน่นอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน...
แล้วในวินาทีนั้น...ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยก็เริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขา มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยากที่จะระบุลงไปได้ว่าคือสิ่งใด รู้แต่ว่าไม่เคยพบเจอความรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย วางใจและเติมเต็ม...ความรู้และประสบการณ์ในอดีตไม่สามารถให้ความกระจ่างกับเขาได้ เขารู้เพียงว่ายี่สิบแปดปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีมือข้างไหนส่งผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปยังหัวใจของเขามาก่อน... ฉากน่ากลัวผ่านพ้นไปแล้ว เธอค่อยๆ คลายมือออกจากการยึดกุมของเขา คราวนี้เขายินยอมปล่อยมันไปแต่โดยดี ด้วยไม่มีข้ออ้างใดๆ แล้วที่จะทำอย่างนั้นต่อไป แต่แล้วเมื่อถึงคราที่ฉากน่ากลัววกกลับมาอีกครั้ง ลักษณาการเดิมๆ ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่างกันก็ตรงที่คราวนี้มือคู่นั้นไม่เคยคลายออกจากกันและกันอีกเลย...
ห้าทุ่มกว่า...หนังจบลงด้วยความขนพองสยองเกล้า ใจยังเต้นรัวไม่หายและความรู้สึกบางอย่างยังคงค้างคา ทั้งสองเดินออกมาจากโรงหนัง แต่ทั้งเขาและเธอต่างก็ยังอิดออดที่จะร่ำลาจากกันในเวลาอันรวดเร็วเพียงนี้ จึงตกลงกันว่าจะไปหาร้านเล็กๆ เงียบๆ ที่เปิดเพลงเบาๆ นั่งดื่มกินและพูดคุยกันต่ออีกสักพัก รถเคลื่อนตัวออกจากที่จอดอย่างช้าๆ เหมือนอยากจะให้เวลาในคืนนี้ยืดยาวออกไปอีกนานเท่านาน ทั้งคู่ยังคงขับรถวนไปเวียนมาอย่างไร้จุดหมาย ด้วยต่างก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายตัดสินใจเลือกร้าน แต่กว่าจะไปถึงก็เสียเวลาขับวนอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เขาสั่งเบียร์มากลั้วคอ ส่วนเธอสั่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่อ่อนๆ นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะ ซักถามเรื่องส่วนตัวของกันและกันอยู่ได้ไม่นาน ก็จำใจต้องเช็คบิลเปลี่ยนไปร้านใหม่ ด้วยที่นั่นเปิดเพลงดังเกินกว่าที่จะพูดคุยกันรู้เรื่อง
คราวนี้เธอเป็นฝ่ายเลือกร้านบ้าง มันเป็นร้านเล็กๆ บรรยากาศดีเหมาะแก่การนั่งคุยกัน เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว ทั้งร้านจึงเหลือพวกเขาอยู่เพียงโต๊ะเดียว ทั้งคู่พยายามหาเรื่องมาพูดคุยกันเพื่อทำลายความเงียบงันอันน่าอึดอัด แต่ในบางครั้งต่างก็ดิ่งลึกลงสู่โลกส่วนตัวภายใน พูดคุยกับตัวเอง ขบคิดถึงปมปัญหาบางอย่าง ใคร่ครวญและหาเหตุผลมาโต้แย้งกับสำนึกของตัวเอง ต่อสู้กับความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในจิตใจ บางหนเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากันด้วยความบังเอิญ ต่างก็ยิ้มให้แก่กันอย่างเก้อเขิน ไม่นานนักก็ถึงเวลาต้องปิดร้าน จำใจจ่ายตังค์แล้วลุกเดินออกไปขึ้นรถ แต่แล้วด้วยอะไรบางอย่างที่ดึงดูดคนทั้งคู่ให้เข้าหากัน รถจึงเคลื่อนตัวออกไปโดยมีจุดหมายอยู่ที่ฟู๊ดแลนด์สาขาที่ใกล้ที่สุด โดยต่างก็หวังเพียงว่าอยากจะต่อเวลาให้ค่ำคืนนี้ยาวนานออกไปอีกแม้เพียงนิด...หลังจากจัดการกับอาหารมื้อกึ่งดึกกึ่งเช้าเสร็จ เขาและเธอก็กล่าวคำอำลาแก่กันในเวลาเกือบตีสี่ ก่อนนอนวันนั้นเขาได้รับเมสเสจจากเธอ เป็นการขอบคุณสำหรับหนังผีเรื่องนั้น เขากดอ่านมันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วนอนหลับไปด้วยความรู้สึกสุขใจ...
เรื่องทั้งหมดน่าจะจบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เมื่อโชคชะตากำหนดให้คนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยเกี่ยวพันกันไม่ว่าจะในด้านไหน ต้องโคจรมาพบกัน ตกหลุมรักกันและกัน และต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งคือจิตวิญญาณส่วนที่ขาดหายไปของตัวเอง ถ้าหากเพียงแต่ว่าทั้งเขาและเธอจะไม่ได้มีคนรักอยู่ก่อนแล้วทั้งคู่... หลังจากวันนั้นเขาและเธอยังคงนัดเจอ ไปกินไปเที่ยวดูหนังฟังเพลงด้วยกันอีกหลายครั้ง แต่ก็เป็นไปด้วยความรู้สึกคลุมเครือ กระอักกระอ่วนใจ มันทั้งสุขและทุกข์ระคนกัน เพราะต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นผิด มันเป็นการทำร้ายความรู้สึกของบุคคลที่สามซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วย...ครั้งหนึ่งเขาเคยเอ่ยถามเธอว่า เคยไหมเวลาที่อยู่กับใครบางคนแล้วมันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เธอนิ่งไป ก่อนตอบกับเขาว่า “เคย...ตอนที่อยู่กับคุณไง” ผมยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ดี...
ช่วงนั้นเขาผ่านพ้นแต่ละคืนวันในชีวิตไปด้วยความยากลำบาก คืนแล้วคืนเล่าที่เขาเมามายหลับใหลไปอย่างไร้สติ เขาต้องรับมือกับความว้าวุ่น สับสน และทางออกที่ดูจะมืดมิดอับจน ในที่สุดเมื่อทนอยู่กับการหลอกลวงและความรู้สึกผิดในจิตใจต่อไปไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจพาผมก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งแห่งศีลธรรมอันดีงามทั้งหลายทั้งปวง เขาฉีกกฎทุกกฎทิ้ง ขยี้ทำลายทุกกรอบเกณฑ์ความเชื่อลงจนป่นปี้เป็นผุยผงไม่มีชิ้นดี เขาหันหลังให้กับถ้อยคำประณามหยามหมิ่น ไม่แยแสกับสิ่งใดๆ รอบตัวอีกต่อไป เพื่อความรักแล้วเขายินดีสละได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิต...
เขาตัดสินใจบอกความจริงทั้งหมดกับคนรักของเขา หล่อนรับฟังด้วยน้ำตานองหน้า เขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน นึกเกลียดตัวเองที่เป็นคนแบบนี้ ด่าทอโชคชะตาที่กลั่นแกล้งให้เขาต้องมาตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ขันขื่น ที่ชักนำให้เขามาเจอเธอในเวลาที่สายเกินไป... ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็แยกทางกับคนรักของเขา เขาเลือกที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองและซื่อสัตย์กับคนรักของเขาอย่างถึงที่สุด เพราะเขาไม่อยากที่จะหลอกลวงด้วยการอยู่กับหล่อนเพียงตัวแต่ใจไปอยู่กับคนอื่นอีกต่อไป...
แล้วเขาก็กลายมาเป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีครั้งไหนในชีวิตที่เขาจะเลวได้มากเท่านี้อีกแล้ว...เรื่องน่าจะจบลงด้วยดีใช่ไหมครับ ถ้าหากเพียงแต่ว่าเธอคนนั้นจะตัดสินใจทำในแบบเดียวกันกับเขา...บอกเลิกกับคนรักเก่าหันมาคบกับเขา แล้วก็ครองรักกันไปตราบจนชั่วฟ้าดินสลายเหมือนอย่างในนิยาย...แต่...ฮะ ฮะ ฮะ...แน่นอนครับ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก เพราะไม่เช่นนั้นแล้วผมจะมานอนกองอยู่กับพื้น หายใจระรินอยู่อย่างนี้ได้ยังไง...เธอตัดสินใจอยู่เหมือนกันครับ เพียงแต่คนที่เธอตัดสินใจบอกเลิกนั้น ไม่ใช่คนรักเก่าที่อยู่เมืองนอก แถมยังไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสามปีแล้ว แต่กลับเป็น “เขา” ผู้ที่ยอมทิ้งทุกอย่างมา เพราะหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับเธอ
ฮะ ฮะ ฮะ...มันเป็นตอนจบที่โคตรจะสะใจผมเลยครับ คนเลวๆ อย่างเขาสมควรแล้วที่จะได้รับจุดจบแบบนี้ แต่แปลกแฮะ...คราวนี้ไม่เห็นว่าเขาจะร้องไห้ฟูมฟายเหมือนอย่างเคย รู้สึกว่าแวบหนึ่งผมจะแอบเห็นรอยยิ้มในแววตาของเขาด้วยซ้ำไป ครั้งนี้ดูเขานิ่งและสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...เขากระซิบกับผมว่ามันเป็นเรื่องของ “ชะตากรรม” และ “การลงทัณฑ์” เป็นเวลาที่เขาจะต้องชดใช้กรรมที่ตัวเองเคยก่อเอาไว้กับผู้หญิงคนอื่นๆ เขาว่ามันเป็นการลงโทษที่สาสมดีแล้ว เขาสมควรที่จะได้รับในสิ่งนี้ เขายังบอกอีกว่า เขาไม่นึกโกรธเธอคนนั้นหรอก เธอเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ทำทุกอย่างไปด้วยความไม่รู้ เธอเป็นเพียงเครื่องมือของใครบางคนในการลงโทษเขาเท่านั้น เขาชื่นชมในความรักอันยิ่งใหญ่ของเธอ เธอตัดสินใจถูกต้องแล้วที่เลือกคนรักเก่าแทนที่จะเป็นเขา เขายินดีไปกับเธอด้วย เขายังบอกกับผมอีกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะยอมให้กับมัน - ชะตากรรม... ชีวิตนี้เขาเกิดมา อาจจะยอมให้กับอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่มัน เขาไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อก้มหน้ายอมรับชะตากรรม...ก่อนที่จะหมดสติไป ผมได้ยินเขาสบถออกมาเบาๆ เป็นครั้งสุดท้ายว่า...“_uck Destiny ! ”
ฮะ ฮะ ฮะ...ฮะ ฮะ ฮะ...ฮะ ฮะ ฮะ...นั่นล่ะครับ เรื่องราวของเขา...
ผมคือหัวใจของผู้ชายคนหนึ่ง...และผมกำลังจะตาย.
...................................................
(ภาพ : Anonymous ที่มา : http://www.fultonstreetgallery.org/exhibits/nature's%20elements/art/halakan/Sincere%20Confession.jpg)
All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
<< หน้าแรก