ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

Chartvut Bunyarak, a man who fall in love with short story.

วันอังคาร, กันยายน ๑๘, ๒๕๕๐

เรื่องสั้น:สมการศีลธรรม (G = Mbˆ²)

สัปดาห์ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาดีๆ ในชีวิตของเรืองกิตติ์ เริ่มตั้งแต่ใบเสนอโครงการของเขาได้รับการเซ็นอนุมัติ หลังจากเฝ้าฟังข่าวรอลุ้นมานานกว่าสามเดือน ตามด้วยลาภลอยอย่างเลขท้ายสองตัวล่าง ที่ถึงแม้จะเป็นเงินไม่กี่พันบาท แต่เขาก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามันช่างได้มาอย่างง่ายดาย
เสียนี่กระไร อีกทั้งหญิงสาวเพื่อนร่วมงานคนสนิท ซึ่งเขาตามติดคั่วหล่อนอยู่นานหลายปี หวังจะได้เธอมาเป็นเพื่อนคู่คิดเคียงข้างกาย ก็ดันบังเอิญมาตอบรับรักเขาเมื่อสองวันก่อน...
ด้วยเหตุนี้ เพื่อนสนิทมิตรสหาย จึงต่างพากันอ้าปากค้างกับภาพลักษณ์ใหม่ของเขา จากที่เคยชินกับกางเกงยีนฟิตๆ สีซีด เสื้อยืดมอซอสักตัว ทับด้วยกั๊กที่เต็มไปด้วยช่องเล็กซอกน้อย สะพายกระเป๋ากล้องเฉียงไหล่ และรองเท้าเดินป่าคู่เก่ง...เรืองกิตติ์ไม่ลังเลเลย เมื่อช่างตัดผมเปิดฉากการขายด้วยบริการเสริม อย่างไฮไลท์ผมเป็นสีทองหย่อมๆ ตามสมัยนิยม ท่อนบนของเขาถูกแทนที่ด้วยเชิ้ตแขนสั้นใหม่เอี่ยม ท่อนล่างเปลี่ยนเป็นกางเกงสแลคสีเข้ม กับรองเท้าหนังมันวาว
และด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนในละแวกบ้านจึงต้องแปลกใจไปตามๆ กัน เมื่อได้ยินเสียงผิวปากฮัมเพลง เล็ดรอดออกมาจากเนื้อบางๆ ที่เคยปิดสนิทคู่นั้น หนำซ้ำยามเดินผ่าน เขายังเที่ยวส่งยิ้มให้ใครต่อใครอย่างกับเป็นนางสาวไทย สีหน้าและแววตาภายใต้แว่นกลมโตคู่นั้น จากที่เคยเฉยชาไร้ความรู้สึก แม้โลกจะแตกที่ตรงหน้าก็ตามที กลับเปี่ยมไปด้วยประกายระยิบวิบวับ บนดวงหน้าอิ่มเอิบล้นสุข กระทั่งป้าอาดผู้ซึ่งเคยผัดข้าวให้เขากินเป็นประจำ ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้หมอนี่มันใช่ไอ้กิตติ์ที่เคยมากินบ่อยๆ เหรอวะ...

รถปรับอากาศสาย 126 เคลื่อนมาจอดตรงป้ายอย่างเนิบช้า ตามการจราจรอันแสนสาหัสของบ่ายวันเสาร์ ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่ไม่ไกลนัก เรืองกิตติ์สังหรณ์ใจตั้งแต่ยังไม่ก้าวขึ้นรถแล้วว่า วันนี้จะต้องมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเขาอีกอย่างแน่นอน มันเป็นลางแบบเดียวกับตอนที่เขามือขึ้น ยามเป็นเจ้ามือไพ่ป๊อกเด้งครั้งก่อน แล้วก็เป็นจริงดังคาด...รถค่อนข้างโปร่งคน มีที่ว่างให้เลือกนั่งมากมาย เขาตัดสินใจนั่งติดกระจกซ้าย ถัดจากประตูทางลงเพียงสองแถว เพราะอีกไม่กี่ป้ายก็จะถึงบิ๊กซีลาดพร้าว จุดหมายปลายทางที่นัดกับสาวคนรักไว้ เขาตั้งใจว่าจะหาหนังดีๆ ดูสักเรื่อง ต่อด้วยดินเนอร์ใต้แสงเทียนที่ไหนสักแห่ง แต่ยังไม่ทันจะหย่อนก้นลงนั่งดี สายตาก็เหลือบไปเห็นโชคดีที่ตรงหน้า มันนอนสงบนิ่งอยู่ริมกระจก เรืองกิตติ์เหลือบซ้ายแลขวาก่อนเอื้อมไปคว้ามาไว้ในมือ รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก เขาเพ่งเหรียญสิบบาทเหรียญนั้นอย่างมีนัยสำคัญ สัญญาณความคิดขณะนั้นพอจะถอดรหัสได้ว่า...นี่กูจะเฮงอะไรกันนักกันหนาวะ...

จำเป็นต้องขยายความตรงนี้สักนิด...
แม้เราจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า โลกปัจจุบัน ในยุคทุนนิยม-สมัยบริโภคแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งอ้างการเปิดเสรีทางการค้าและอาศัยกลไกตลาด เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขยายอาณาจักร จะกำลังเบ่งบานจนถึงขีดสุดนั้น อาจมีตัวแปรอันเหมาะสมต่างๆ มากมาย ที่เอื้อให้เชื้อร้ายซึ่งแฝงฝังอยู่ตามมุมมืดเล็กๆ ภายในจิตใจเรา แพร่พันธุ์ได้อย่างง่ายดายในอัตราเร่งที่ทบทวีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นความรัก โลภ โกรธ หลง อยากได้ใคร่มี อิจฉาริษยา ชิงดีชิงเด่นฯ
และแม้ว่าเราอาจจะพออนุมานได้ว่า เรืองกิตติ์เป็นคนเมือง อย่างน้อยที่สุดเขาก็ทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เมื่อประเมินจากรูปแบบในการดำเนินชีวิต เครื่องแต่งกาย และวิธีการเดินทางแล้ว สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมน่าจะอยู่ที่ระดับ กลาง-ต่ำ ถึง กลาง-กลาง แต่คงไม่ถึง กลาง-สูง เรียกง่ายๆ ก็คือชนชั้นกลางทั่วไปนั่นเอง
แต่ที่เรายังไม่ทราบพอๆ กัน นั่นก็คือ ประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กของเขา...
องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษา ในขอบเขตของพรมแดนทางวิทยาศาสตร์บอกกับเราว่า ช่วงอายุตั้งแต่ 0 - 6 ขวบนั้น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับการเรียนรู้ของเด็กๆ เหตุที่ทั้งทัศนคติ วิธีคิด ความเข้าใจต่อสิ่งเร้าต่างๆ รอบตัว ตลอดจนบุคลิกภาพนั้น จะถูกพัฒนาและก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาในช่วงวัยนี้นั่นเอง
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่โชคดีเป็นยิ่งนัก อาจกล่าวได้ว่าเป็นบุญหัวของเรืองกิตติ์เลยทีเดียว เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น พ่อ-แม่ของเรืองกิตติ์มีความจำเป็นต้องเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ พวกเขาจึงตัดสินใจส่งเรืองกิตติ์กลับไปให้ย่าแท้ๆ ของเขาเลี้ยงดูที่ต่างจังหวัด และในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเอง ที่เรืองกิตติ์มีโอกาสได้ซึมซับถึงภูมิปัญญาและคุณค่าของอะไรบางอย่างเข้าไปโดยไม่รู้ตัว...กล่าวให้ชัดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แทบจะตั้งแต่วันแรกที่เขาเริ่มตั้งไข่เลยทีเดียว ที่ย่ามักจะจูงมือเขาไปยืนรอพระใส่บาตรในยามเช้า จากเด็กตัวน้อยที่เคยยืนมองเพศบรรพชิตในชุดเหลืองด้วยแววฉงนฉงาย ผ่านไปไม่กี่ปี เขาก็กลายเป็นคนที่ทำหน้าที่นั้นไปเสียเอง
ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยในการทำบุญ-ทำทาน จึงฝังอยู่ในกมลสันดานของเรืองกิตติ์เรื่อยมา อาจกล่าวได้ว่า ด้วยการละ รู้จักเสียสละนั่นเอง ที่เป็นวัคซีนป้องกันหัวใจของเขาเอาไว้ จากการรุกคืบอย่างรวดเร็วของเชื้อทุนนิยมสายพันธุ์ Minimum Cost-Maximum Profit ซึ่งกำลังระบาดไปทั่วโลกอย่างหนัก อันส่งผลให้เกิดความเห็นแก่ตัวอย่างไร้จุดสิ้นสุด ขึ้นในหัวใจของผู้คนมากมายในปัจจุบัน...นับเป็นโชคดีของเรืองกิตติ์...

ตอนที่ก้าวขาลงจากรถนั้น เรืองกิตติ์มีเป้าหมายที่ชัดเจนในใจแล้วว่า เขาจะทำทานให้กับคนยากสักคนบนสะพานลอยแห่งนี้ เผื่อผลบุญนั้นจะย้อนคืนสิ่งดีๆ มาสู่เขาบ้างในอนาคต แต่ที่ยังไม่รู้และต้องตัดสินใจต่อไปก็คือ จะให้กับใคร คนไหน และเพราะอะไรนั่นเอง
เป้าหมายแรกนั่งชิดราวสะพานด้านขวา ไม่ไกลจากตีนสะพานลอยขาขึ้นมากนัก เรืองกิตติ์แทบจะตัดเธอออกจากตัวเลือกตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็น หล่อนเป็นหญิงสาวอายุไม่เกิน 30 ปี จากภายนอกแล้วดูท่าทางแข็งแรงดี ไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือพิการที่ตรงไหน ในอ้อมกอดประคองอยู่ด้วยทารกน้อยที่กำลังแหกปากร้องจ้า และนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาจำต้องตัดหล่อนออกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่ค่อยชอบให้เงินกับขอทานประเภทนี้นัก คิดเอาเองว่ามันออกจะง่ายเกินไป และที่สำคัญเป็นการหากินที่เอารัดเอาเปรียบเด็ก...วินาทีที่เดินผ่านหน้าหล่อนนั้น เรืองกิตติ์รู้สึกว่าทารกน้อยหยุดร้องไห้ไปชั่วขณะ แล้วมองสบตามายังเขาอย่างตั้งคำถาม สายตาไร้เดียงสาคู่นั้นชวนให้ครุ่นคิด แต่ไม่ทันไรทางโค้งขวาบนสะพานลอย ก็บังคับให้เขาต้องละสายตาไปสู่สิ่งใหม่
เป้าหมายที่สองเป็นวงดนตรีสามชิ้นของคนตาบอด หนึ่งในนั้นคือหญิงกลางคนร่างท้วมมีกล่องรับบริจาควางอยู่บนตัก มือขวาถือไมโครโฟน หล่อนคงจะทำหน้าที่นักร้องนำ ถัดมาตรงกลางเป็นชายกลางคนนั่งอยู่หน้าคีย์บอร์ดตัวเก่ง เขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่กับสมาชิกคนสุดท้าย ซึ่งเป็นชายแก่ผิวคล้ำร่างผอมเกร็ง ผู้สะพายเครื่องดีดที่เรืองกิตติ์ไม่รู้จักชื่ออยู่บนหัวไหล่ ตำแหน่งของวงดนตรีนี้ ตั้งอยู่บริเวณริมขวาสุดด้านบนสะพานลอย คอยดักผู้คนตรงหัวโค้งที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา นับเป็นทำเลที่ดีมาก เพราะความแคบของทางจะบังคับให้ทุกสายตาที่เดินผ่าน จำต้องให้ความสนใจไปโดยอัตโนมัติ
เรืองกิตติ์เกือบจะหย่อนเหรียญสิบบาทลงไปในกล่องอะลูมิเนียมสีเงินนั่นอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ติดตรงที่มันเป็นช่วงพักเบรคของวง เสียงดนตรีจึงเงียบลง ครั้นจะหย่อนเหรียญลงไป เขาก็รู้สึกว่ามันออกจะง่ายเกินไปสักหน่อย เหตุที่เขาไม่ได้รับสิ่งแลกเปลี่ยนใดๆ เลย แม้มันจะเป็นเพียงแค่ความบันเทิงข้างถนนก็เถอะ แต่เหตุผลแท้จริงที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจ น่าจะเป็นรอยยิ้มอันสุดแสนจะเปี่ยมสุขของชายกลางคนมือคีย์บอร์ด ที่กำลังหัวร่อต่อกระซิกกับผองเพื่อนทั้งสองมากกว่า...โดยไม่มีสาเหตุ...เรืองกิตติ์กลับรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ช่างทิ่มแทงความรู้สึกในเบื้องลึกของเขายิ่งนัก แม้จะเดินผ่านมาไกลถึงกลางสะพานลอยแล้ว แต่เขาก็ยังอดชะงักเท้าเหลียวกลับไปมองรอยยิ้มนั้นอีกครั้งไม่ได้...
หลังจากผ่านโค้งซ้ายที่เชื่อมสู่ทางลงมาได้ไม่ไกล เป้าหมายที่สามก็ปรากฏสู่สายตา คราวนี้เป็นชายฉกรรจ์หน้าตาอมทุกข์ ผมยาวกระเซิง ในชุดกระดำกระด่าง เบื้องหน้ามีแก้วพลาสติกเก่าๆ ตั้งอยู่หนึ่งใบ ความน่าสนใจอยู่ตรงลักษณาการที่เขานั่ง กล่าวคือ คล้ายการนั่งพับเพียบ เพียงแต่จงใจเก็บปลายเท้าข้างขวาเอาไว้ให้มิดชิด โดยอำพรางด้วยถุงกระดาษเก่าๆ กับเศษผ้าห่มสกปรกๆ สักผืน อีกทั้งกางเกงข้างขวาตั้งแต่เหนือหัวเข่าลงไป จะถูกตัดให้ขาดกะรุ่งกะริ่งเพื่อความสมจริง แต่งแต้มด้วยรอยแผลแดงๆ เยิ้มๆ ล่อให้แมลงวันมาตอม เพิ่มความน่าสงสารเข้าไปอีก มองเผินๆ แล้ว จึงคล้ายกับคนขาด้วนที่ขาดตั้งแต่หัวเข่าลงไปเลยทีเดียว...แต่ปราชญ์ย่อมไม่พลาดพลั้งเป็นครั้งสอง เรืองกิตติ์เคยเห็นขอทานในลักษณะเดียวกันนี้ ลุกขึ้นยืนสองขาเดินตัวปลิวมาแล้วที่สะพานลอยแห่งหนึ่ง ครั้งนี้เขาจึงเดินผ่านเลยไปอย่างไม่คิดจะเหลียวแลแม้เพียงน้อยนิด
เดินลงมาอีกไม่กี่สิบก้าว สิ่งที่เขารอคอยก็ยืนอยู่ตรงตีนสะพานแล้ว คนนี้แหละ...ใช่เลย เรืองกิตติ์บอกกับตัวเองในใจอย่างนั้น ขอทานคนสุดท้ายเป็นชายชราตาบอด ใส่ชุดม่อฮ่อมสีซีดจาง เนื้อผ้าตรงด้านหลังคอมีริ้วรอยเปื่อยยุ่ยอย่างเห็นได้ชัด เขากำลังบรรจงสีซอตัวเก่งที่สะพายอยู่บนไหล่อย่างตั้งใจ ปากก็ร้องร่ำทำเพลงเป็นภาษาพื้นถิ่น ที่เรืองกิตติ์เองก็ฟังไม่ค่อยจะออก แต่นั่นก็หาได้สลักสำคัญกับเรืองกิตติ์ไม่ เพราะสำหรับเขาแล้ว คุณลุงคนนี้แหละ ใช่เลย!
ก่อนจะเดินถึงตัววณิพกตาบอดเล็กน้อย เรืองกิตติ์คว้าเหรียญสิบบาทออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขากำลังจะหย่อนเหรียญสิบเหรียญนั้นลงในกระป๋อง ซึ่งวางอยู่ข้างหน้าชายชราอยู่แล้วเชียว แต่พลันนั้น...เสียงเสียงหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดอ่านของเขาเป็นอย่างสูง ก็พลันแว่วขึ้นในกระแสสำนึก มันค่อยๆ ดังขึ้นๆ และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ...เสียงนั้นดังก้องกังวานอยู่ในหัวว่า...มีออมไม่มีอด...มีออมไม่มีอด...

จำเป็นต้องขยายความตรงนี้อีกสักนิด...
ด้วยอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์นั้น จากการศึกษาของนักวิชาการในหลายสาขาหลากอาชีพ ระบุผลการวิจัยต้องตรงกันว่า สื่อดังกล่าวมีอิทธิพลต่อความคิดอ่านของมวลชน มากกว่าสื่อประเภทอื่นๆ อย่างเหลือคณานับ ปัจจัยหนึ่งนั้นอาจเป็นเพราะลักษณะเฉพาะของสื่อโทรทัศน์เอง ที่ง่ายต่อการเข้าถึง ง่ายต่อการเสพรับมากกว่าสื่อชนิดอื่นๆ เช่น หนังสือพิมพ์(จำเป็นต้องอ่านออกเขียนได้) หรือ วิทยุ (ไม่มีความดึงดูดใจเท่ากับสื่อโทรทัศน์ซึ่งมีภาพเคลื่อนไหว) ซึ่งอิทธิพลดังกล่าวอาจเป็นไปทั้งในทางสร้างสรรค์หรือทำลายล้างก็เป็นได้ ดังที่เคยปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งว่า แม่ค้าในตลาดสดคว้าเปลือกทุเรียนไล่ตบหน้านักแสดงสาว ซึ่งสวมบทบาทเป็นนางร้ายหรือตัวอิจฉาในละครโทรทัศน์
อาจกล่าวให้ชัดยิ่งไปกว่านั้นได้ว่า...ทันใดนั้นเอง สโลแกนอันเคยคุ้น (ซึ่งเกิดจากการกระหน่ำยิงสปอตโฆษณา
*ทางโทรทัศน์ซ้ำๆ จนเกือบจะเป็นการสะกดจิต เพื่อหวังผลในทางสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับท่านผู้นำประเทศของเรา) ก็เด่นหราชัดแจ้งดั่งโดนไฟส่องขึ้นในกระแสการรับรู้ของเรืองกิตติ์ หนำซ้ำยังปรากฏขึ้นในรูปแบบของทำนองเพลงเสียด้วย...มีออมไม่มีอด...
ออมหนึ่งส่วนใช้สามส่วน...มีออมไม่มีอด...

โจทย์ทางคณิตศาสตร์ง่ายๆ จึงผุดขึ้นในหัวสมองของเรืองกิตติ์ทันทีทันใดอย่างอัตโนมัติ ซึ่งพอจะถอดรหัสออกมาได้ใจความว่า...
“เงิน 10 บาท แบ่งออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กัน เท่ากับ...
วิธีทำ
10 ÷ 4 = 2.50 บาท
ตรวจทานคำตอบ
2.50 x 4 = 10 บาท
เพราะฉะนั้น เงิน 10 บาท แบ่งออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กัน จึงเท่ากับส่วนละ 2.50 บาท”

ได้คำตอบดังนั้น เรืองกิตติ์จึงตัดสินใจเก็บเหรียญสิบบาทเหรียญนั้น กลับคืนไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม จากนั้นคว้ากระเป๋าสตางค์ออกจากกระเป๋าหลัง หยิบเหรียญบาทสองเหรียญกับเหรียญห้าสิบสตางค์อีกหนึ่งเหรียญที่ซ่อนอยู่ในช่องน้อย หย่อนลงไปในกระป๋องของชายชรา เสียงโลหะกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง เป็นจังหวะเดียวกับที่รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นตรงมุมปากของเรืองกิตติ์อีกครั้งอย่างภาคภูมิใจ...แล้วเขาก็เดินเลี่ยงไปยังทิศที่รถขายลูกชิ้นปิ้งจอดอยู่ ก่อนกล่าวกับคนขายด้วยเสียงดังฟังชัด บ่งบอกถึงความอารมณ์ดีว่า
“เอ็นเนื้อไม้นึงครับ!”

........................................................
* ช่วงปลายปีพ.ศ. 2548 มีโฆษณาทางโทรทัศน์เรื่องหนึ่งของธนาคารออมสิน ซึ่งออกอากาศอยู่เป็นระยะเวลานานพอสมควร และได้รับการกล่าวขวัญถึงกันมาก จนกลายเป็น Talk of the Town อยู่พักใหญ่ ด้วยเนื้อหานั้นกล่าวถึงชีวิตในอดีตของนายก ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่มาของคำพูดยอดนิยมที่ว่า “มีออมไม่มีอด” หรือ “ออมหนึ่งส่วนใช้สามส่วน”

ภาพประกอบจากเว็บไซด์:http://en.wikipedia.org/wiki/Web_notes


All Rights Reserved
2007 Copyright©Chartvut Bunyarak

บทความเกี่ยวกับภาพยนต์:สิบสามเกมสยอง

มีรายการเกมโชว์อยู่บางประเภทซึ่งผมเองไม่ค่อยนิยมจะเสพรับนัก...หาใช่จะแสร้งดัดจริตรับไม่ได้หรือผะอืดผะอมพานจะอ้วก ยามที่ผู้ร่วมแข่งขันในรายการยัดสิ่งมีชีวิตประหลาดๆ จำพวก ไส้เดือน แมงมุม แมลงสาบ หรือสิ่งที่มนุษย์เราไม่สมควรจะกิน อาทิ ไส้ปลาหมึกเน่า ปลาเน่า ลูกตาวัว ลูกตาแกะ เข้าปาก ก่อนจะเบ้หน้าหยีตาเคี้ยวกร้วมๆ แล้วกลืนลงคอ...อะไรนั่นหรอก
เพราะหากจะกล่าวตามจริงแล้ว โปรดิวเซอร์ของรายการเหล่านั้นก็มักฉลาดมากพอจะรู้ได้ว่า เมื่อสุดขอบด้านหนึ่งนั้นมืดสนิท ก็จักสมควรแต่งเติมอะไรบางอย่างเข้าไป เพื่อให้น้ำหนักและอารมณ์ของสารที่ส่งออกมามีความกลมกล่อมสมดุลละมุนลิ้นยิ่งขึ้น คล้ายๆ กับการล่อหลอกให้เด็กๆ กินผักนั่นแหละ และไอ้ “อะไรบางอย่าง” ที่ว่านั้น ก็หาใช่อื่นใดนอกเสียจาก นมตู้มๆ บั้นท้ายอวบอิ่ม อีกทั้งตะโพกกลมกลึง ที่เชื่อมอยู่กับวงหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าชังของผู้เข้าแข่งขันสาวสวย หรือหากเป็นผู้ชาย จุดขายก็วางเห็นเด่นชัดเป็นสันนูนอยู่หกลูก (Six Packs) ตรงหน้าท้องนั่นไง ยังไม่นับมัดกล้ามมโหฬารเกินธรรมดา กับกางเกงแนบเนื้อที่จงใจจะอวดโชว์แก่นแกนของความเป็นชายนั่นอีก
ไม่ใช่ไม่ชอบหรอกครับ ไอ้ชอบน่ะชอบแน่นอน แต่ที่ไม่นิยมเปิดดูบ่อยนัก เป็นเพราะผมรู้สึกเอาเองว่ารายการทำนองนี้มัน “จริง” เกินไปหน่อย...จริงในแง่ที่ว่ามันช่างตีแผ่ธาตุแท้ของความเป็น “คน” ออกมาได้อย่างสมจริงเสียนี่กระไร สมจริงเสียจนรู้สึกกลัวว่าหากเผลอเสพรับจนเกินขนาด ดีไม่ดีอาจเตลิดไปไกลถึงขั้นเข้าถึงสัจธรรมอะไรนั่น เดี๋ยวชีวิตที่เหลืออยู่จะพานแล้งไร้หมดสนุกไปเสียฉิบ...
ก็คุณเชื่อไหมเล่าครับว่า ที่พวกเขาเหล่านั้น “ยอม” คว้าแมงมุมตัวเป้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ “ยัด” เข้าปากแล้วเคี้ยวนั้น พวกเขาทำไปเพียงเพื่อต้องการก้าวข้ามให้พ้น “ขีดจำกัด” (Limit) ของตัวเองในเรื่อง “ความกลัว” (Fear) สมดังเจตนารมณ์รายการที่ตั้งชื่อไว้ว่า “Fear Factor” มิพักต้องพูดถึงว่าแท้จริงแล้วความอยากรู้ว่าข้อจำกัดของตนเองอยู่ตรงไหน และเราสามารถที่จะเอาชนะตัวเองได้หรือไม่นั้น ก็หาใช่สารัตถะเพียงหนึ่งเดียวของชีวิต ดูอย่างตัวผมนั่นปะไร แต่ไหนแต่ไรมากลัวความสูงเป็นที่สุด ตอนได้รู้จักบันจี้จั๊มป์ครั้งแรก เคยนึกเล่นๆ ว่าน่าจะลองดู แต่เอาเข้าจริงเมื่อใช้สมองไตร่ตรองถ้วนถี่ดีแล้ว ผมสัญญากับตัวเองเลยว่าอย่างน้อยต้องมีคนจ้างให้โดด ด้วยตัวเลขเจ็ดหลักเป็นอย่างต่ำ! ผมถึงจะยอมเสี่ยง...
สังเกตไหมครับว่าเงื่อนไขของผมคือจำนวน “เงิน” ที่ต้อง “มากพอ”...แต่ทุกอย่างคงจะเปลี่ยนไป หากบังเอิญว่าตอนนั้นสถานการณ์ชีวิตผมกำลังตกอยู่ในช่วงคับขัน เช่น พ่อป่วยหนัก-แม่กำลังจะตายต้องการเงินไปรักษา คนที่รักกันมานานกำลังจะทิ้งไปเพราะทนอยู่กับความลำบากต่อไปไม่ไหว หรือผมอาจโดนไล่ออกจากงานพร้อมใบทวงหนี้ปึกใหญ่และเลขตัวแดงที่กำลังจะสูงท่วมหัว...ไม่แน่...หากเป็นเช่นนั้นเงื่อนไขของผมอาจจะลดน้อยถอยลง เหลือเป็นจำนวนเงินเพียงไม่กี่หมื่นบาท
หรือแท้จริงแล้ว...สิ่งจูงใจที่ทำให้พวกเขายัดแมงมุมตัวใหญ่ๆ เข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ ได้นั้นคือ “เงิน”...

อย่าเพิ่งงงไปเลยครับ...คุณไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไปหรอก และผมก็กำลังเขียนถึงหนังเรื่อง “13 เกมสยอง” จริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจงใจจะ “ปกปิด” เนื้อหาของภาพยนตร์ที่กำลังเขียนถึง นั่นเป็นเพราะ “13 เกมสยอง” เป็นหนึ่งในหนังไทยเพียงไม่กี่เรื่องที่ประทับอยู่กลางใจผมในช่วงเวลาหลายปีมานี้ สรุปสั้นๆ ก็คือเป็นหนังดีมีคุณธรรมครับ! มันทั้งบีบคั้น กดดัน ตั้งคำถาม เชือดเฉือน โบยกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า...แต่ทั้งหมดนั้นต่างก็เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์เดียวคือ กระตุ้นให้หยุดคิด...เพื่อค้นหาความหมายของอะไรบางอย่าง
ระหว่างที่ชม...คำถามหนึ่งวนเวียนอยู่ในก้อนสมอง... “อะไรทำให้คนต่างจากหมา”
หลังภาพยนตร์จบ...ผมพลันตระหนักว่าคำถามที่ตั้งกับตัวเองเมื่อครู่อาจผิดไป มันดูจะไม่ยุติธรรมกับหมาสักเท่าไหร่ เพราะหลายหลากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า คงมีแต่เพียงมนุษย์ที่จักกระทำเยี่ยงนั้นได้...
หรือแท้จริงแล้ว...คำถามที่ถูก ผมควรจะตั้งเสียใหม่ว่า... “อะไรทำให้หมาต่างจากคน”

.....................................


All Rights Reserved
2007 Copyright©Chartvut Bunyarak

วันเสาร์, มกราคม ๑๓, ๒๕๕๐

บทกวี:เมล็ดพันธุ์


เมล็ดพันธุ์

19 พฤษภาฯ 2549
เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง
แตกหน่อขึ้นอีกครั้งที่บ้านกูจิงลือปะ
แรงสั่นสะเทือนเลือนลั่น
สร้างรอยร้าวใหม่ขึ้นในหัวใจนับล้านดวง

“อมนุษย์หน้าไหนกันทำเช่นนั้น
ด้วยศรัทธาชนิดใด...
ด้วยหัวจิตหัวใจแบบไหน”
ทั่วแคว้นแดนดินทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก
ต่างตั้งคำถาม ประณาม สาปส่ง...

จึงวินาทีนั้นเมล็ดพันธุ์ได้หยั่งราก
บนหัวใจที่เริ่มแบ่งแยก...ยิ่งแบ่งแยก
นั่น “พวกเขา” นี่ “พวกเรา”
นั่น “ไทยพุทธ” นี่ “มุสลิม”
ชอนไชไปตามซอกอันดำมืด
กัดกินความรักในเพื่อนมนุษย์
ซึ่งครั้งหนึ่ง...เราเคยมีให้แก่กัน

ก่อเกิดเป็นอคติในทิศอับแสง
บอดใบ้ต่อทุกสรรพสำเนียงใด
หรือที่แท้แล้ว...
หาใช่ “คนกลุ่มนั้น” หรือ “คนกลุ่มไหน”
ที่สร้างความร้าวฉานขึ้นบนผืนแผ่นดินนี้
แต่เป็นรอยแยกเล็กๆ ในใจเรา
...นั่นต่างหาก.
............................................
ภาพประกอบขากเว็บไซด์ http://www.navy.mi.th/navic/gallery/inbook/880703k.jpg



All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak