ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

Chartvut Bunyarak, a man who fall in love with short story.

วันอาทิตย์, ตุลาคม ๐๑, ๒๕๔๙

เรื่องสั้น : ตำนานสุดท้าย-ไอ้มดแดง

ตำนานสุดท้าย – ไอ้มดแดง

ภาพที่ปรากฏบนจอสี่เหลี่ยมเบื้องหน้า คือผู้สื่อข่าวสาวกำลังยืนถือไมค์รายงานข่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เบื้องหลังของเธอมีกลุ่มควันดำรูปดอกเห็ดขนาดมหึมาหนาทึบ ม้วนตัวรวมกันเป็นเกลียว พวยพุ่งออกจากเศษซากปรักหักพังของอาคารที่ครั้งหนึ่งเคยมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร เปลวไฟสีส้มแดงลามเลียไปทั่วบริเวณตัดสลับกับสีดำสนิทอย่างเด่นชัด กลุ่มควันที่ลอยตัวขึ้นสูงตัดกันอีกทีกับสีฟ้าเข้ม ของผืนฟ้าไร้เมฆหมอกยามสายของวันกลางฤดูร้อน เกิดเป็นความงามแปลกตาคล้ายภาพแอบสแตรค ที่ศิลปินจงใจป้ายปาดฝีแปรงวกไปวนมาอย่างไร้ความหมาย แล้วเบรคด้วยสีโทนตรงกันข้าม ภาพซีจีหรือคอมพิวเตอร์กราฟิกที่ขึ้นซ้อนทับอยู่บนหน้าจอบริเวณมุมล่างสุด บอกให้รู้ว่าตึกที่กำลังไหม้เกรียมอยู่ด้านหลังนั้นคืออาคารรัฐสภาของสยองประเทศ...

เสียงเจื้อยแจ้วของนักข่าวสาวให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อเช้านี้ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดประชุมสภาฯสมัยสามัญ ได้มีบุคคลนิรนามหรือตัวอะไรสักอย่าง ซึ่งถึงขณะนี้ยังไม่สามารถระบุที่มาแน่ชัด ได้ก่อเหตุระเบิดพลีชีพขึ้นกลางรัฐสภา สร้างความมึนงงให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ว่าเขาสามารถฝ่าด่านระบบรักษาความปลอดภัยอันแน่นหนารัดกุมเข้าไปได้อย่างไร แรงระเบิดดังกล่าวส่งผลให้นักการเมืองของสยองประเทศที่อยู่ในรัฐสภาขณะนั้นเสียชีวิตเกือบทั้งหมด นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยย์

“ฮะ ฮะ ฮะ…สมน้ำหน้าแม่ง !” ผมระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ

เสียงกระจอกข่าวสาวรายงานต่อว่า มีผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้เพียงรายเดียวคือ นายฉลิม บำรุงลูก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคความหวังดับ ซึ่งขณะนั้นกำลังเดินกลับเข้ามาในสภาฯ หลังจากออกไปทำธุระส่วนตัว จึงรอดจากแรงระเบิดมาได้อย่างหวุดหวิด นับเป็นการรอดตายเพราะปวดเยี่ยวแท้ ๆ

“ห่าเอ๊ย...ไอ้เหี้ยนี่เสือกรอดมาได้ยังไงวะ !” ผมสบถออกมาเต็มคำพร้อมขบกรามแน่นด้วยรู้สึกหงุดหงิดเหลือกำลัง

เธอหมายถึงนักการเมืองฝีปากกล้าขวัญใจแม่ค้าตลาดสด ผู้เป็นขุนพลคนสำคัญของฝ่ายรัฐบานยามต้องออกโรงประลองฝีปากปะทะคารมกับพรรคฝ่ายแค้น คนเดียวกันกับที่มีลูกชายอันธพาล ความประพฤติดีเยี่ยมเข้าข่ายลูกตัวอย่าง จนประชาชนคนไทยย์ต้องแซ่ซ้องสรรเสริญกันถ้วนหน้า แต่เจ้าของสถานบันเทิงยามค่ำคืนเกลียดเข้าไส้ ฐานที่ชอบหาเรื่องกระทืบคนในผับจนไม่มีใครอยากออกมาเที่ยว ทำให้พวกเขาขาดรายได้ไปบานตะไท

ภาพข่าวตัดไปที่คำให้การของ นายฉลิม บำรุงลูก ด้วยท่าทีสั่นงันงกเหมือนลูกนกตกน้ำทั้งที่ตัวไม่เปียก น่าจะเป็นเพราะกลัวจนสุดขีดมากกว่า

“ม...มัน...มัน…มีตาสีเขียวดวงโต...โตมาก...เขา...เขาตรงกลางสีแดงรูปดาวสามแฉก มัน...มันใส่เสื้อ...เสื้อเกราะ...สีแดง...มีรูปตัวเอสอยู่กลางหน้าอก…ระเบิดผูกติดอยู่ทั่วตัวมันเลย…น่ากลัวมาก...แล้วมัน...มันก็พุ่งตรงไปที่…ไปที่ลูกชายของผมทั้งสองคน…แล้ว…แล้วมันก็ระเบิดตูม…โฮ ๆ…น่ากลัวมาก…โฮ โฮ โฮ”

ช่างเป็นคำให้สัมภาษณ์ที่ทุเรศที่สุดตั้งแต่ผมเคยได้ยินมา นายฉลิมไม่หลงเหลือความกร่างกร้าว ในลีลาการตอบคำถามแบบยียวนกวนประสาท ตามฉบับนักการเมืองผู้ยโสโอหังอยู่อีกเลย มีเพียงชายแก่ผมเผ้ากระเซิงรุงรังในชุดสูทขาดวิ่นเปรอะฝุ่น น้ำตาไหลนองสองข้างแก้มจากลูกตาแดงก่ำ รอยน้ำมูกแห้งเกรอะกรังติดอยู่ตรงปลายจมูก ใจหนึ่งนึกสงสาร แต่อีกใจกลับคิดว่า ‘สมน้ำหน้าแม่ง มึงทำคนอื่นเขาไว้เยอะ’ กดปุ่มรีโมทคอนโทรลในมือเปลี่ยนไปช่องอื่น ก็มีแต่เบรคกิ้งนิวส์รายงานข่าวนี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ช่องเคเบิ้ลทีวี เหมือนตอนที่บินลาดินสั่งให้สมุนจี้เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกเวิลด์เทรดเมื่อปีค.ศ. 2001 ไม่มีผิด

แว่วเสียงนักข่าวของอีกช่องรายงาน ขณะผมกำลังเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดเหล้า “จนถึงขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการก่อวินาศกรรมในครั้งนี้”

“ฮะ ฮะ ฮะ กล่งกลุ่มอะไรที่ไหน มันจะมีได้ยังไงกัน” ผมรำพึงกับตัวเองก่อนกดปุ่มปิดรับสัญญาณภาพบนรีโมทคอนโทรล

ผมรินเหล้าใส่แก้วแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้ปลาสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดยี่สิบสี่นิ้ว ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องติดกับผนังที่ทาสีน้ำเงินเข้ม ภายในตู้มีปลาสอดโกลด์สไลด์ฝูงใหญ่ราวยี่สิบตัว ว่ายเกาะกลุ่มตามกันวนไปเวียนมา สีแสดบนลำตัวพวกมันตัดกันอย่างสวยงามกับสีน้ำเงินเข้มบนผนังที่เป็นฉากหลัง เป็นความจงใจที่ปล่อยให้กระจกด้านหลังตู้ปลาว่างไว้อย่างนั้นเอง ข้างซ้ายของตัวตู้ด้านใน บริเวณกึ่งกลางของความสูงเยื้องไปทางด้านหลัง ติดตั้งเครื่องปั๊มลมสำหรับผลิตออกซิเจนให้ปลาหายใจ แบบที่มีระบบบำบัดน้ำเสียในตัวเอาไว้เครื่องหนึ่ง ที่ฝั่งตรงกันข้ามเป็นหุ่นฟิกเกอร์แอคชันตอนแปลงร่างแล้วของ ‘เขา’ ทำจากซอฟท์ไวนิลสูงราวฟุตครึ่ง ในอัตราส่วน 1:8 ผมได้มาจากสะพานพุทธในราคาที่ไม่แพงนัก คนขายบอกว่าสามารถใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้อ่อนตัว แล้วดัดเขาให้ทำท่าทำทางเป็นแบบอื่นได้ แต่ผมก็ยังไม่เคยลองทำ ตั้งแต่ซื้อมาผมก็ล้างเขาให้สะอาด แล้วถ่วงด้วยตะกั่วที่ปลายเท้าเพื่อให้จมน้ำ จากนั้นก็หย่อนเขาไว้ที่มุมตู้ปลาด้านขวาเรื่อยมา

ผ่านมาสามเดือนกว่าแล้ว เขายังยืนอยู่ที่เดิม ด้วยท่าทางเดิม ๆ ที่ผมดูได้ไม่รู้เบื่อ...เขายืนหันหน้าตรงทำมุมสี่สิบห้าองศาให้กับเครื่องปั๊มลมฝั่งตรงข้าม แขนซ้ายยกขึ้นขนานกับพื้น กำนิ้วมือทั้งหมดยกเว้นนิ้วชี้กับนิ้วกลางที่ชี้ตรงไปข้างหน้า ส่วนแขนขวายกขึ้นงอข้อศอกทำมุมสี่สิบห้าองศา กำหมัดไว้เป็นรูปกำปั้น ดูเผิน ๆ จึงคล้ายกับเขากำลังยืนเผชิญหน้ากับผู้ร้ายฝ่ายอธรรม...ปีศาจเครื่องปั๊มน้ำที่มีอาวุธเป็นฟองอากาศก้อนกลมเล็ก ๆ นับร้อยนับพันที่พ่นออกมาไม่รู้จักหยุดหย่อน ท่วงท่าของเขาคล้ายกับจะบอกว่า “แกจงตายซะเถอะ เจ้าปีศาจร้าย” มีสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไป คือคราบตะไคร่น้ำที่จับอยู่บนใบหน้าและลำตัวของเขา เริ่มพอกตัวหนาขึ้นเรื่อย ๆ คงจะได้เวลาที่ผมควรหยิบเขาขึ้นมาทำความสะอาดเสียที

“ดื่มให้กับความสำเร็จในภารกิจครั้งนี้ ผมขอขอบคุณอย่างจริงใจในความเสียสละของคุณ…ที่เหลือไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะจัดการเอง” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นชูแล้วพูดอยู่คนเดียวหน้าตู้ปลา ก่อนกระดกเหล้ารวดเดียวหมด

ถ้าใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าผมบ้าเป็นแน่ แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้บ้า แล้วก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิด คิดว่าผมเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ระเบิดรัฐสภาอะไรนั่น ไม่ใช่เช่นกัน ผมเพียงแค่รู้จักคนที่ลงมือทำเท่านั้นเอง… คุณเข้าใจถูกแล้วล่ะ ก็ ‘เขา’ นั่นแหละ...แต่จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ใช่คนเดียวที่รู้จักเขาหรอก คุณเองก็อาจจะรู้จักเขาก็ได้ ถ้าคุณมีอายุอยู่ระหว่าง 25-30 ปี ใกล้เคียงกันกับผม แล้วถ้าตอนเด็ก ๆ คุณไม่ขี้เกียจที่จะตื่นแต่เช้าในวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อมานั่งเฝ้าหน้าจอทีวี ผมมั่นใจเลยว่าคุณต้องรู้จักเขาแน่นอน เป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อยที่ผมมีโอกาสได้เจอตัวจริงของเขา จะให้ไม่ตื่นเต้นได้ยังไง ก็ในเมื่อเขาเป็นฮีโร่เพียงหนึ่งเดียวที่ผมเทิดทูนบูชาเอาไว้ในใจตั้งแต่เด็ก…เหมือนฝันแต่จริง…แต่มันก็เป็นความจริงที่ช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน คือเรื่องทั้งหมดมันค่อนข้างจะซับซ้อนน่ะ ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นเล่าให้คุณฟังตรงไหนดี…คือเรื่องมันมีอยู่ว่า

เมื่อกลางดึกคืนหนึ่งของสองสัปดาห์ก่อน วันนั้นผมเพิ่งกลับจากงานศพของพ่อเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เราเรียนอยู่ห้องเดียวกันสมัยมัธยมปลาย พอกลับถึงบ้านผมก็เดินขึ้นไปบนดาดฟ้าซึ่งเปิดโล่งไร้หลังคาคลุม เป็นที่ ๆ ครอบครัวผมใช้สำหรับตากผ้า และก็เป็นที่ ๆ ผมมักจะหลบมานั่งสูบบุหรี่ ขบคิดอะไรคนเดียวยามที่มีเรื่องไม่สบายใจ บางครั้งทิวทัศน์ในที่สูงกับสายลมเย็น ๆ ที่มาปะทะผิวกาย ก็ช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง

วันนั้นก็เช่นกัน...ผมกลับจากงานศพ แต่สรรพสำเนียงของมันกลับยังฝังแน่นอยู่ในความรู้สึกเบื้องลึก เสียงกระซิกร่ำไห้ของผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ความอาลัยอาวรณ์และรอยน้ำตา ตั้งแต่รู้จักกันมาผมยังไม่เคยเห็นเพื่อนเศร้าโศกเสียใจเท่าวันนี้มาก่อนเลย จากคนที่เคยเข้มแข็ง เป็นผู้นำ มีอารมณ์ขัน ร่าเริงและแจ่มใสอยู่เสมอ กลับกลายเป็นคนอ่อนแอที่ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะประคองแก้วน้ำในมือไว้ไม่ให้ตกหล่น แววตาของเขาเปล่ากลวงไร้ความรู้สึก ผมไม่เห็นเขาร้องไห้ แต่รู้ดีว่าข้างในเขากำลังทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส… บางครั้งชีวิตก็ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย คนดี ๆ กลับต้องมาตายอย่างไร้เหตุผล คนเลว ๆ กลับได้ดิบได้ดีจนบางครั้งเราต้องอิจฉา…

คุณพ่อของเพื่อนผมคนนี้ แกเป็นตำรวจลับอยู่ฝ่ายปราบปรามยาเสพติด วันที่เสียชีวิต แกกำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติภารกิจ ปลอมตัวเข้าไปในผับเพื่อล่อซื้อยาล็อตใหญ่จากพ่อค้ายาคนหนึ่ง ซึ่งสืบทราบมาว่ามีนักการเมืองใหญ่คอยหนุนหลังอยู่ โชคร้ายที่บังเอิญแกดันเดินไปเหยียบตีนใครคนหนึ่งเข้าด้วยความไม่ตั้งใจ จนกลายเป็นเหตุทะเลาะวิวาทบานปลายเมื่อคู่กรณีไม่พอใจเพียงคำขอโทษ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่มันจะเหนี่ยวไกลั่นกระสุนนัดสังหาร มันถามว่า “มึงรู้ไหมว่ากูลูกใคร!” ปัง ! ...แค่นั้นเอง...ชีวิตคนดี ๆ คนหนึ่ง ต้องจบสิ้นลงด้วยน้ำมือของไอ้เศษสวะขยะสังคม ไม่สิ มันต่ำช้ากว่านั้น...มันคือหนอนที่ชอนไชกัดกินอยู่บนเศษซากอันเน่าเหม็นของขยะนั้นอีกทีหนึ่ง*

ขณะที่ผมกำลังอารมณ์ขึ้นถึงขีด พลันสายตาเหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนป้ายคัตเอาท์โฆษณาโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่ง ที่ติดตั้งอยู่บนดาดฟ้าของตึกฟากตรงข้าม ความมืดทำให้ผมต้องเพ่งสายตามอง แต่ยังไม่ทันที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ทันใดนั้นเองร่าง ๆ หนึ่งก็ร่วงลงมา...ชั่วเสี้ยววินาทีที่ไฟสปอตไลท์สำหรับส่องป้ายคัตเอาท์สาดลงบนร่างนั้น ‘เฮ้ย ! นั่นมันคนนี่หว่า’ ด้วยสัญชาตญาณผมปล่อยกระป๋องเบียร์ในมือหลุดร่วงลงกับพื้น รีบวิ่งลงไป ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม จุดหมายคือบริเวณด้านล่างของป้ายคัตเอาท์ที่คาดว่าน่าจะเป็นจุดตก พอผมวิ่งไปถึง ตรงนั้นเป็นทุ่งหญ้ากอกกรกชัฏที่ขึ้นสูง กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล แต่มีอยู่จุดหนึ่งไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่นักกอกกยวบตัวลงไป ผมตัดสินใจค่อย ๆ สาวเท้าคืบเข้าไปช้า ๆ นึกเตรียมใจอยู่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศพของบุคคลนิรนามที่ทั่วทั้งร่างแหลกเหลว เลือดไหลออกจากทวารทั้งเก้าเป็นแน่ คะเนจากความสูงของป้ายคัตเอาท์ ‘ใครที่ตกลงมาแล้วไม่ตายก็ไม่ใช่คนแล้ว’ ผมรำพึงในใจ

ผมแทบช็อกเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงปลายเท้าเบื้องหน้า มันไม่ใช่ความรู้สึกตกใจกลัวแต่เป็นความแปลกใจสุดขีดมากกว่า แม้ว่าจะค่อนข้างมืด (ผมรีบจึงลืมหยิบไฟฉายติดมือมา) แต่แสงจันทร์แรมแปดค่ำก็ยังสว่างมากพอให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้

ร่างนั้นนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นไม่ไหวติง เขาสีแดงรูปดาวสามแฉก พาดปลายผ่านหน้าผากยาวลงมาจนถึงตำแหน่งที่ควรจะเป็นจมูก ดวงตาโตสีเขียวคู่นั้นมีจุดกลมเล็ก ๆ มากมาย บุ๋มลงไปคล้ายตาแมลงวันเมื่อมองผ่านแว่นขยาย ปากและคางสีเงิน ผ้าพันคอผืนยาวสีขาวพาดเฉียงอยู่บนหัวไหล่ซ้าย ที่นูนสูงขึ้นมาเพราะเสื้อเกราะสีแดงมีสัญลักษณ์รูปตัวเอสอยู่ตรงกลางหน้าอกที่สวมใส่อยู่ ดูคล้ายชุดกันกระแทกที่นักอเมริกันฟุตบอลใส่เวลาลงเล่น เข็มขัดเส้นโตสีขาวตรงกลางมีเส้นตรงพาดทับกันไปมาคล้ายดอกจันสีแดง ที่ด้านข้างทั้งซ้ายและขวามีปุ่มสี่เหลี่ยมอยู่ข้างละสามปุ่มเป็นสีน้ำเงิน เขียว และแดง ถัดลงมาเป็นกางเกงแนบเนื้อสีดำสนิทมันวาว สอดปลายทั้งสองข้างอยู่ในรองเท้าบู๊ตยาวสีขาว มีเส้นสีแดงลากผ่านตรงกลางเช่นเดียวกันกับถุงมือ

แวบแรกที่เห็นผมก็จำได้ในทันที เหมือนที่อยู่ในตู้ปลาของผมเปี๊ยบเลย ต่างกันก็แค่ร่างที่นอนทอดกายอยู่เบื้องหน้านี้มีขนาดสูงใหญ่เท่ากับคนจริง ๆ เขาจะเป็นอื่นใดไปไม่ได้เลยนอกจาก ไอ้มดแดงวีเจ็ด หรือยอดมนุษย์ไฟฟ้าสตรองเกอร์นั่นเอง

“โอ...ให้ตายเถอะพระแม่เจ้า ! นี่มันสตรองเกอร์นี่หว่า” ผมเผลอหลุดปากอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว ยกมือขวาขึ้นหยิกแก้มตัวเองเบา ๆ รู้สึกเจ็บ ถึงได้รู้ว่าไม่ได้ฝันไปที่ได้มาเจอฮีโร่ตัวจริง ‘มันเป็นไปได้ยังไงกันเนี่ย ?’ ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปแตะที่ตัวเขา ทันใดนั้นเองก็มีแสงสีขาวสว่างวูบขึ้นมา มันจ้าเสียจนผมต้องหลับตาเบือนหน้าหนี หันกลับมาอีกทีสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็กลายเป็นร่างของชายคนหนึ่งหน้าเหมือนคนญี่ปุ่น หรือจีน หรืออะไรทำนองนั้นนอนหมดสติอยู่

‘นี่มันอะไรกันวะ’ ผมคิดในใจ เลื่อนนิ้วชี้ไปอังที่ปลายจมูก เขายังมีลมหายใจอยู่…ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน รู้สึกตัวอีกทีผมก็อุ้มเขามาถึงหน้าห้องนอนแล้ว ตัดสินใจวางเขาลงบนเตียง ผมเดินไปทิ้งตัวลงนอนที่เก้าอี้โซฟาตัวยาว ตรงชุดรับแขกที่วางอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องด้วยความเหน็ดเหนื่อย ปิดเปลือกตาลง ตั้งใจว่าจะพักสายตาพลางคิดหาทางออกว่าควรทำอย่างไร จะแจ้งตำรวจก็กลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ผมพูด ดีไม่ดีอาจจะหาว่าผมเป็นบ้าไปอีก จะส่งโรงพยาบาลก็ไม่แน่ใจว่าจะจำเป็นสักเท่าไหร่ เพราะเขาไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างกายเลยด้วยซ้ำไป ทั้งที่ตกมาจากที่สูงขนาดนั้น รู้สึกเปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ คงเป็นเพราะว่าผมเหนื่อยมาทั้งวันประกอบกับลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ลอยมาปะทะผิวหน้า...ในที่สุดผมก็ค่อย ๆ เคลิ้มแล้วหลับไป... ในฝันผมเห็นตัวเองแปลงร่างกลายเป็นสตรองเกอร์ ต่อสู้กับปีศาจร้ายที่มาคุกคามมนุษย์โลก…

เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนส่องทะลุผ้าม่านลายลูกไม้กระทบเปลือกตาพอให้รู้สึกตัวตื่น ผมพบตัวเองนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา สิ่งแรกที่ทำคือผงกหัวขึ้นดูบนเตียงนอน…มันว่างเปล่า ผมพยายามตั้งสติคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อคืน...หรือว่ามันเป็นเพียงความฝัน ผมอาจจะเมามากเกินไป ยังไม่ทันจะได้ข้อสรุปใด ผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง

“สวัสดี” ผมหันไปดูจึงเห็นว่าเป็นชายคนเดียวกันกับที่นอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนนี้ - ผมไม่ได้ฝันไป
“คุณคงเป็นคนที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้และพาผมมาที่นี่…ถ้าเดาไม่ผิดที่นี่คงเป็นบ้านของคุณสินะ” เขาพูดขึ้นพลางเหลียวมองไปรอบ ๆ ห้อง มันดูเหมือนประโยคบอกเล่ามากกว่าจะเป็นคำถาม ผมไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่าคำว่า ครับ
“ผมชื่อ…”
“ฮิคารุ” ผมพูดแทรกขึ้นก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมา ท่าทางเขาประหลาดใจไม่น้อย
“ผมชื่อประชวน เรียกผมชวนก็ได้” ผมกล่าวพลางยื่นมือออกไปเขย่ากับเขา
“คุณ…เอ่อ...คุณชวน คุณรู้จักชื่อของผมได้ยังไง” เขายังงงไม่หาย แทนคำตอบผมชี้มือไปยังทิศที่ตู้ปลาตั้งอยู่ เขามองตามพลางเดินไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าตู้ปลา จ้องมองสิ่งที่อยู่ในนั้น

“ชื่อจริงของคุณคือ ยามาฮ่า ฮอนด้าซีวิค ฮิคารุ แต่เมื่อแปลงร่างแล้ว คุณก็จะกลายเป็นไอ้มดแดงวีเจ็ด หรือยอดมนุษย์ไฟฟ้าคาเมนไรเดอร์สตรองเกอร์” เขาหันมามองผมอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“ไม่เพียงเท่านั้น ผมยังรู้อีกด้วยว่าคุณเป็นไอ้มดแดงเพียงตัวเดียวที่มีผู้ช่วยสาวแสนสวย...เธอชื่อ แทคเกิล” พูดมาถึงตรงนี้สีหน้าของเขาก็สลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนผมชักไม่แน่ใจว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า เขายืนนิ่งอยู่นาน ในที่สุดก็เดินมานั่งลงที่โซฟาฟากตรงข้ามกันกับผมแล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะยังมีคนจำผมได้ ขนาดในญี่ปุ่นเองแท้ ๆ ยังแทบไม่มีใครรู้จักพวกเรา…เขาลืมเรากันไปหมดแล้ว เด็ก ๆ วัยรุ่นก็หันไปเห่อแต่พวกบอยแบนด์หัวทองกับไอ้เด็กชินจังอะไรนั่น แต่นี่บนผืนแผ่นดินไทยย์ คุณเองก็เป็นคนไทยย์แท้ ๆ กลับยังจำผมได้ ไม่รู้ว่าผมควรจะดีใจหรือเสียใจดี ฮะ ฮะ ฮะ…” เขาหยุดหัวเราะ เอนหลังลงกับโซฟา ทอดสายตาเหม่อมองขึ้นไปบนเพดานอย่างไร้ความหมาย ผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในเสียงหัวเราะอันขื่นขมนั้น และเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง

“ยังไงก็ตาม ผมต้องขอขอบคุณคุณอีกครั้งที่ช่วยผมเอาไว้ แม้ว่าผมจะไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นเลย” เขายื่นมือมาจับกับผมอีกครั้งเป็นการขอบคุณ ผมรู้สึกว่ามือขวาของเขาสั่นผิดปกติ
“คุณหมายความว่ายังไงครับ ที่ว่าไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น” ผมถามเพราะไม่เข้าใจจริง ๆ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ
“ก็แล้วคุณคิดว่าผมขึ้นไปทำอะไรอยู่บนนั้นล่ะ” ผมนิ่งคิด เขานิ่งเงียบ เหมือนมีกำแพงโปร่งใสก่อตัวขึ้นคั่นกลางระหว่างเราสองคน แต่แล้วเขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้
“คุณชวน…ผมไม่อยากจะรบกวนคุณเลย…ว่าแต่ในห้องนี้พอจะมี...เอ่อ...เหล้าบ้างไหม…คือว่าผม…เป็นแอลกอฮอลิซึ่ม” ท่าทางเขาดูอึดอัดไม่น้อยที่ต้องพูดมันออกมา ผมเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดเหล้าส่งให้เขา มันเป็นวอดก้าเกรดต่ำ แต่ก็คงจะพอแก้ขัดได้ ผมไม่รู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะเริ่มสงสัยตั้งแต่ตอนที่เห็นมือเขาสั่นแล้ว

“อันนี้คงพอใช้ได้”
“ขอบคุณมาก” เขายื่นมืออันสั่นเทามารับขวดเหล้าไปจากผม เปิดฝาออกอย่างรวดเร็วแล้วยกขึ้นกรอกปากอึกใหญ่
“หมายความว่า คุณติดเหล้าอย่างนั้นหรือ” ผมยังไม่วายถามออกไป
“ใช่” เขาตอบก่อนกระดกเหล้าอีกหนึ่งอึกแล้วกล่าวต่อ “แต่ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกที่เป็นอย่างนี้ พวกเราคนอื่น ๆ ก็เป็น”
“คุณหมายถึงไอ้มดแดงตัวอื่น ๆ น่ะเหรอ”
“ใช่ ทั้งคาเมนไรเดอร์ X อเมซอน สกายไรเดอร์ก็ด้วย” เขาหมายถึงไอ้มดแดงวี 5 วี 6 และวี 8 นี่สิที่ทำให้ผมแปลกใจของจริง ฮีโร่ในวัยเด็กของผมที่คอยผดุงคุณธรรม รักษาความยุติธรรม ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน กลายเป็นคนติดเหล้ากันไปหมดแล้วหรือนี่ ? ? ?
“แล้วซูเปอร์วันล่ะ” ผมหมายถึงไอ้มดแดงวี 9 ตัวที่ดังที่สุดสมัยยี่สิบปีก่อน คนที่มีถุงมือวิเศษเปลี่ยนได้หลาย ๆ คู่ ตอนเด็ก ๆ ผมชอบเถียงกับเพื่อนว่าแบบไหนเจ๋งที่สุด
“นั่นล่ะตัวขี้เมาเลย เพิ่งเป็นตับแข็งตายไปเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง” คำตอบของเขาทำผมถึงกับอึ้ง ไอ้มดแดงเป็นตับแข็งตาย นี่มันอะไรกันวะ???

อยากหลอกตัวเองเหลือเกินว่าหูผมคงมีอะไรผิดปกติไป แต่ความจริงสิ่งที่ผมได้ยินมันก็เป็นอย่างนั้น เขายังคงก้มหน้าก้มตาดื่มต่อไป ตอบคำถามผมด้วยแววตาเหม่อลอยไร้ความรู้สึก เหมือน(กับว่า-ตัดทิ้ง)ไม่ใส่ใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต่อให้โลกจะแตกอยู่ตรงหน้าก็ตามที

“คุณคงไม่ได้หมายความว่าคูก้ากับอากิโตะด้วยหรอกนะ” ผมถามถึงไอ้มดแดงสองตัวล่าสุดขวัญใจเจ้าน้องชายคนเล็ก
“สองคนนั่นเพิ่งเริ่ม แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก…แอลกอฮอลิซึ่มเหมือน ๆ กัน” เขายังคงตอบผมเหมือนมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผมจะบ้าตาย...นี่ถ้าน้องชายผมรู้เข้ามันจะคิดยังไงนะ
“คุณฮิคารุ ผมมีเรื่องมากมายอยากจะถามคุณ แต่ก่อนอื่นคุณจะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะขอถามอะไรโง่ ๆ สักอย่าง”
“ว่ามาเถอะคุณชวน คงไม่มีอะไรในโลกบูด ๆ เบี้ยว ๆ ใบนี้จะเซอร์ไพรส์ผมได้อีกแล้วล่ะ”
“คือผมยังสงสัยอยู่ว่า เมื่อคืนผมเห็นกับตาว่าคุณพยายามจะฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงมาจากที่สูงขนาดนั้น แต่คุณกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย แล้วทำไมกะอีแค่เหล้าถึงทำให้ซุปเปอร์วันซึ่งเป็นยอดมนุษย์ เป็นไอ้มดแดงเหมือนกับคุณ...เป็นตับแข็งตายได้”

“นึกว่าอะไรเสียอีก คือมันเป็นอย่างนี้คุณชวน ผมน่ะสังหรณ์ใจอยู่แล้วล่ะก่อนที่จะกระโดดลงมา ว่ามันอาจจะไม่สำเร็จ…เหมือนกับครั้งก่อน ๆ ที่ผมเคยพยายามมาแล้วน่ะแหละ เพราะว่าเวลาที่พวกเรา…ผมหมายถึงไอ้มดแดงน่ะ เวลาที่พวกเราตกอยู่ในอันตราย เราจะกลายร่างโดยอัตโนมัติ ที่ผมยังมีชีวิตรอดมาได้จนถึงเดี๋ยวนี้ก็เป็นเพราะชุดเกราะนั่นแหละ แต่ว่าชุดเกราะจะสามารถปกป้องเราได้ก็แต่อันตรายที่มาจากภายนอกเท่านั้น ไม่รวมถึงสิ่งที่ทำร้ายเราจากข้างในอย่างเหล้าหรอก พวกเราอาจจะแข็งแรง อาจจะมีพละกำลังมหาศาล มีท่าไม้ตายไว้ปราบพวกผู้ร้าย แต่คุณต้องอย่าลืมว่าเวลาที่ไม่ได้แปลงร่าง พวกเราก็เป็นคนธรรมดา ๆ เหมือนอย่างพวกคุณ เราต้องกินเมื่อหิว เราต้องขับถ่าย ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ต้องดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เราหัวเราะเมื่อดูหนังตลก เราร้องไห้ เราซึมเศร้าเหงาเพราะรัก เรามีความสุขและความทุกข์เหมือนกับพวกคุณเช่นกัน…อ้อ อีกอย่างที่ซุปเปอร์วันเป็นตับแข็งตายน่ะ เพราะเขาอยากให้มันเป็นอย่างนั้นเอง เขาเลือกที่จะทำร้ายตัวเองด้วยการดื่มเหล้าขาว”

“คุณหมายถึงเหล้าขาวของประเทศผมน่ะเหรอ”
“40 ดีกรี แบบที่แกล้มกับมะขามเปียกจิ้มเกลือ...นั่นแหละใช่เลย”
“ก๊าก ก๊าก ก๊าก…ฮ่า ฮ่า ฮ่า…เฮอะ เฮอะ เฮอะ” ผมระเบิดเสียงหัวเราะราวคนเสียจริต ถ้าคุณได้มาฟังเรื่องราวเหล่านี้เหมือนที่ผมได้ยินล่ะก็ เชื่อเถอะว่าคุณจะมีอาการไม่ต่างกันกับผมสักเท่าไหร่หรอก ใครล่ะจะเชื่อว่ามันเป็นความจริง ถ้าไม่ได้มาเจอกับตัวเอง ผมต้องขอเหล้าจากเขามากระดกเองสองสามอึก ถึงได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง

เรายังคงคุยกันต่ออีกยาว…สามสี่วันหลังจากนั้น ผมตระเวนพาเขาไปดื่มตามร้านเหล้าขาประจำ ทั้งส้มตำหน้าปั๊ม ร้านลาบหน้าปากซอย จุ่มแซบอีสาน เนื้อย่างเกาหลี ฯลฯ บทสนทนาระหว่างแก้วเหล้าทำให้ผมรู้ว่า ทำไมเขาถึงอยากฆ่าตัวตาย และทำไมไอ้มดแดงหลายตัวจึงกลายเป็นคนติดเหล้า เขาบอกว่าสาเหตุที่ทำให้พวกเขากลายเป็นไอ้ขี้เมานั้นคล้ายคลึงกัน เขาเองก็เช่นเดียวกัน ต่างตรงที่เรื่องราวของเขาออกจะเข้มข้นและน้ำเน่ากว่าของคนอื่นอยู่หน่อย...

เขาเริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า ย้อนหลังกลับไปเกือบยี่สิบปีก่อนหน้านี้...ตอนนั้นเหล่าไอ้มดแดงยังคงเป็นที่นิยมชมชอบของบรรดาเด็ก ๆ ตัวเล็กตัวน้อยรวมไปถึงผู้ใหญ่ในญี่ปุ่นด้วย ฐานที่พวกเขาเป็นผู้ที่คอยพิทักษ์ความยุติธรรม ขจัดเหล่าร้ายที่จะมากล้ำกรายรุกราน ก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย ทุกครัวเรือนต้อนรับเหล่าคาเมนไรเดอร์เยี่ยงวีรบุรุษสงคราม เหมือนกับว่าถ้าบ้านใดมีโอกาสได้ต้อนรับขับสู้ แม้เพียงเลี้ยงข้าวพวกเขาสักมื้อก็จะเป็นเกียรติอย่างยิ่งแก่วงศ์ตระกูล บางครอบครัวถึงขั้นจะยกลูกสาวให้ตกแต่งเป็นภรรยา

“ผมแทบไม่เคยเสียเงินซื้อข้าวกินเองเลยตอนนั้น” เขาเล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข “พวกเรากลายเป็นฮีโร่ของทุก ๆ คน เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งดีงาม ของคุณธรรม ของความยุติธรรม เป็นฝ่ายธรรมะที่หาญกล้าเข้าต่อกรกับปีศาจร้ายฝ่ายอธรรม…เด็ก ๆ ทุกคนใฝ่ฝันจะโตขึ้นมาเป็นอย่างพวกเรา”
แต่แล้วเมื่อกาลผันยุคสมัยแปร วันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เมื่อกระแสค่านิยมตะวันตกไหลบ่าท่วมท้น ทับถมและกลืนกินวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวอาทิตย์อุทัย กิโมโนถูกพับเก็บใส่ลิ้นชักให้แมลงสาบแทะรอวันเปื่อยยุ่ย พร้อม ๆ กับที่พวกเขาเหล่าไอ้มดแดงถูกลบเลือนไปจากความทรงจำของผู้คน กลายเป็นตำนานที่ไม่มีใครกล่าวขานถึง ในใจของเด็กน้อยเมื่อวันวานที่เคยมีไอ้มดแดงครอบครอง ถูกแทนที่ด้วยไมเคิล แจ็กสัน ราชาเพลงป๊อปผิวหมึกชื่อก้องโลก พวกเขาไม่แข่งกันทำท่าแปลงกายเลียนแบบไอ้มดแดง หรือแบ่งฝ่ายเล่นเป็นคาเมนไรเดอร์ต่อสู้กับเหล่าปีศาจร้ายเหมือนที่เคย หากแต่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนประชันเครื่องแต่งกายล้ำสมัยเลียนแบบดาราคนดัง ฝึกเต้นเบรคด้านซ์ท่ามูนวอล์คเกอร์กับลีลาลูบเป้าอยู่แถวถิ่นฐานฮาราจูกุ เด็กสาวประกวดประขันแต้มหน้าทาปากแดงแจ๋ กลบเกลื่อนริ้วรอยความใสซื่อบริสุทธิ์ที่แท้แห่งวัยเยาว์ จุดมุ่งหมายสูงสุดคือผันตัวเองเข้าสู่วงการเป็นนางแบบสาวเอวี
*

เหล่าไอ้มดแดงทั้งหลายจึงไม่ต่างอะไรกับคนที่ตกยุคหลงสมัย ไม่สามารถหาที่ทางให้กับตัวเองได้ เมื่อถูกกระแสธารแห่งกาลเวลา พัดพาเข้าสู่วังวนอันเชี่ยวกรากของทุนนิยมบริโภคตะวันตกแบบเข้มข้นสุดกู่ ยุคสมัยที่เงินเท่านั้นคือพระเจ้าบันดาลได้ทุกสิ่งดั่งใจหวัง คุณค่าความงามของจิตนิยมแบบตะวันออกเลือนหาย เมื่อโลกวัตถุนิยมสถาปนาตัวตนขึ้นกลางจิตใจของผู้คน ทุกผู้ทุกนามต่างมุ่งแสวงหาให้ได้มาซึ่งอำนาจเงินตราและกำไรสูงสุด โดยไม่ใส่ใจมรรคผลใด คุณธรรมเป็นเพียงคำนามที่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากหน้าพจนานุกรม...

ในสายตาของไอ้มดแดงอย่างพวกเขานี่คือกลียุคอย่างแท้จริง เหมือนสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายเพื่อมาพบโลกแห่งความเป็นจริงที่ร้ายยิ่งกว่า ยุคสมัยที่คนดีกลายพันธุ์เป็นคนเลว คนเลวกลายเป็นเลวยิ่งกว่า ปีศาจร้ายรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ที่เคยต่อกรด้วยในอดีต กลับกลายเป็นคนใส่สูทผูกไท นักการเมืองเลวคอร์รัปชั่นโกงกินบ้านเมืองสร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง ประพฤติตนไม่ต่างจากอันธพาลหัวหน้าแก๊งยากูซ่าที่คอยสูบเลือดผู้คน ท้ายสุดเมื่อไร้แล้วซึ่งความสามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับโลกบูด ๆ เบี้ยว ๆ ในปัจจุบัน

“พวกคุณจึงหันหน้าเข้าหาการดื่ม...และกลายเป็นไอ้มดแดงติดเหล้าในที่สุด” ผมถาม
“…ใช่…” เขาตอบเสียงอ่อย
ยัง…ยังไม่จบเท่านั้น เรื่องราวชีวิตน้ำเน่ายิ่งกว่าดาวพระศุกร์ของสตรองเกอร์ยังไม่จบ

หลังจากนั้นไม่นาน แทคเกิลผู้ช่วยสาวแสนสวยของเขา ซึ่งในความเป็นจริงเขาบอกว่าเธอเป็นคนรักของเขาด้วยนั้น ก็ได้ถูกพวกแก๊งยากูซ่าจับตัวไป พวกมันบังคับให้เธอเสพยา ขายตัว เล่นหนังโป๊ ในที่สุดเมื่อเธอเสพยาจนติด เธอก็กลายเป็นคนขายยาให้กับพวกมัน...เธอกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการเป็นนางเอกหนังเอวี ทำรายได้มหาศาลให้กับพวกมัน เธอไม่ต้องถูกบังคับให้ขายตัวอีกต่อไป แต่กลายเป็นนางกลางเมืองที่พวกมันใช้เป็นบรรณาการให้กับนักการเมืองชั่ว แลกกับผลประโยชน์ที่จะได้จากการทำธุรกิจมืด...เขาเล่าให้ผมฟังด้วยน้ำตานองหน้า

“ทำไมคุณถึงไม่พยายามหาทางช่วยเธอออกมาล่ะ” ผมรุกถาม
“ฮะ ฮะ ฮะ…คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่พยายาม…ถามจริง ๆ เถอะ ถ้าคุณเป็นผมคุณจะทำอะไรได้ ผมตัวคนเดียว พรรคพวกเพื่อนฝูงก็กลายเป็นคนติดเหล้ากันหมด อย่าว่าแต่ไปสู้กับพวกมันทั้งแก๊งเลย เอาแค่ประคองแก้วเหล้าในมือไม่ให้หกได้ก็เก่งแล้ว…จริงอยู่ผมอาจจะเคยรับมือพวกปีศาจร้ายได้อย่างสบาย ๆ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมมีอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมได้หรอกนะ” เขากระดกเหล้ารวดเดียวหมดก่อนใช้ตะเกียบคีบเสือร้องไห้เข้าปาก
“แล้วยังไงต่อ…คุณเลยตัดสินใจมาเมืองไทยย์ ?”
“ใช่ ผมตัดสินใจเดินทางมาประเทศไทยย์”

เขาเล่าให้ผมฟังต่อว่า เขาตัดสินใจทิ้งอดีตทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เดินทางมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศไทยย์พร้อมกับคาเมนไรเดอร์ซูเปอร์วัน ทั้งสองแยกกันที่สนามบินดันเมือง ซูเปอร์วันเลือกที่จะลงใต้ ส่วนเขามุ่งหน้าสู่จังหวัดหนึ่งในแถบอีสาน เขาใฝ่ฝันจะเป็นชาวนาใช้ชีวิตอันสงบสุขเรียบง่ายอยู่กับธรรมชาติในชีวิตบั้นปลาย

แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่ได้สวยงามอย่างใจหวัง เมื่ออยู่ไปได้สักพัก เขาจึงได้รู้ความจริงว่าที่นี่ไม่ได้มีแต่เพียงสิ่งสวยงามอย่างเดียวเหมือนที่เอเยนซี่ทัวร์โฆษณาไว้ ประเทศไทยย์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับญี่ปุ่นบ้านเกิดเมืองนอนของเขาสักเท่าไหร่ นอกจากรูปร่างหน้าตา สีผิวของผู้คนและภาษาที่ใช้ต่างกันแล้ว ที่เหลือก็เน่าเฟะพอกัน...โครงสร้างทางสังคมอันเหลวแหลก นักการเมืองชั่วคอร์รัปชั่นโกงกินบ้านเมือง ระบบอุปถัมภ์ค้ำจุน สังคมที่มีแต่การแก่งแย่งแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น เห็นแก่ตัว วัตถุนิยมขึ้นสมอง ธุรกิจมืด ซ่องถูกกฎหมาย บ่อนการพนัน ยาเสพติด การค้าแรงงานเด็ก ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม เผด็จการทุนนิยม โจรในเครื่องแบบ ฯลฯ สิ่งดี ๆ เพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นกับเขาคือการที่เขาได้พบรักกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ ‘สมศรี’ แต่แล้วทั้งคู่ก็มีความสุขอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน วันหนึ่งเธอก็ทิ้งเขาไปเพราะความจน…เขาใช้เวลาอยู่เกือบปีออกตระเวนตามหาเธอจนทั่วกรุงเทพย์ฯ ในที่สุดเขาก็พบเธอขายตัวมั่วชายในบาร์อยู่ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง

“เธอเปลี่ยนไปมาก ไม่เหลือเค้ารอยแห่งความบริสุทธิ์เดียงสาของสาวบ้านนอกคนเดิมอยู่อีกเลย เธอกลายเป็นสมศรีคนใหม่ ใส่สายเดี่ยว กระโปรงสั้นจู๋ ทาปากแดงแจ๋แต่ไร้หัวใจ…เธอบอกผมว่าเธอจะไม่กลับ ให้ผมกลับไปแล้วลืมเธอซะ เธอว่าสมศรีคนเดิมตายไปแล้ว…” เขาเล่าทั้งน้ำตานองหน้าอีกครั้ง
“…………” ผมได้แต่อึ้งกับตำนานรักดอกเหมยของเขา
“มันเป็นวันเดียวกับที่ผมได้รู้ข่าวว่าซูเปอร์วัน…เป็นตับแข็งตาย”
“คุณเสียใจมาก เลยตัดสินใจกระโดดลงมาจากคัตเอาท์” เขาพยักหน้าแทนคำตอบ น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงมาจากสองข้างแก้ม...เม็ดหนึ่งหยดลงในแก้วเหล้าของเขาที่วางอยู่ตรงหน้า เขายกมันกระดกถี่ขึ้นและถี่ขึ้น
“เอ่อ…สตรองเกอร์ คุณคงไม่ได้หมายถึงสมศรีคนที่… ‘ข่าวคราวเงียบหายไปสองสามปี นึกว่าไปได้ดี โธ่ศรีน้องมาขายตัว’…หรอกนะ” ผมฮัมเพลงให้เขาฟัง นึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ
“…ใช่… คนนั้นนั่นแหละ เธอชื่อสมศรี 1992”
“…………” ผมอึ้งและอึ้ง

เรายังคงนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นอีกนาน เขาได้แต่นั่งเหม่อลอยมองไปอย่างไร้ความหมาย แววตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึกเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ ที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ฮิคารุคนเดิมในความทรงจำ คนที่มีแววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว หากแต่เป็นเพียงร่างของชายวัยกลางคนคนหนึ่งกับผมเผ้ารุงรัง หนวดเครารกครึ้ม แก้มตอบเหมือนคนขาดสารอาหาร ดวงตาลึกโบ๋คู่นั้นมองเหม่อไปเหมือนพยายามค้นหาความหมายอะไรบางอย่างในอากาศ

มันยากที่ผมจะทำใจยอมรับความจริงที่อยู่ตรงหน้า ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ผมกำลังคิดทบทวนถึงเรื่องราวทั้งหมด ลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่ไอ้มดแดง แต่ผมก็มั่นใจว่าพอจะเข้าใจความเจ็บปวดของเขาอยู่บ้าง ผมไม่มีเหตุผลใดที่ดีพอจะประณามการพยายามจะกระทำอัตวินิบาตกรรมของเขาเลย มันยุติธรรมแล้วหรือที่เราจะประณามใครสักคนว่าอ่อนแอ ในความเจ็บปวดที่เราไม่เคยสัมผัส ไม่เคยรู้จัก…

ผมคิดและคิด ผมคิดถึงพ่อของเพื่อนที่ตายไป คิดถึงความเจ็บปวดของครอบครัวเขา คิดถึงลูกนักการเมืองคนนั้น คิดถึงการฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น คิดถึงสตรองเกอร์และเรื่องราวของเขา ในที่สุดผมตัดสินใจเอ่ยถาม

“สตรองเกอร์ คุณยังคิดจะฆ่าตัวตายอยู่อีกหรือเปล่า”
“ใช่…แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะ ผมรู้ว่าควรทำยังไง ผมรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่” เขากล่าวด้วยแววตาจริงใจ
“ถ้าคุณหมายความอย่างที่พูดจริง ๆ ล่ะก็ ขยับมาใกล้ ๆ สิ ผมมีไอเดียดี ๆ จะบอก”
เขาขยับเข้ามาใกล้ขึ้น
ผมกระซิบกระซาบอะไรกับเขาบางอย่าง ท่าทางเขาเห็นด้วยและยิ้มให้ผมอย่างพึงพอใจ

เมื่อคืนเขายังนั่งอยู่ในห้องนี้ ดื่มกับผมจนเกือบถึงเช้า ผมเผลอหลับไปเมื่อตอนใกล้รุ่งด้วยความเมามาย ตื่นอีกทีตอนสายเขาก็ไม่อยู่แล้ว เปิดทีวีดูก็เห็นแต่ข่าวด่วนรายงานการก่อเหตุวินาศกรรมรัฐสภาของสยองประเทศ ด้วยระเบิดพลีชีพของบุคคลนิรนามหรือตัวอะไรสักอย่าง ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถระบุที่มาที่แน่ชัดได้

เขาคงจะไม่ชอบการร่ำลา...

“ดื่มให้กับความสำเร็จในภารกิจครั้งนี้ ผมขอขอบคุณอย่างจริงใจในความเสียสละของคุณ…ที่เหลือไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะจัดการเอง”
ผมยกแก้วเหล้าขึ้นชูแล้วกล่าวอยู่คนเดียวหน้าตู้ปลา ก่อนกระดกเหล้ารวดเดียวหมด...เดินไปวางแก้วเปล่าไว้หลังตู้เย็น เปิดตู้เสื้อผ้า
ในลิ้นชักขวามือด้านล่างสุด มีระเบิด M-468 วางไว้อยู่ลูกหนึ่ง ผมหยิบมันขึ้นมากำไว้ในมือ ก่อนรำพึงกับตัวเองเบาๆ

“ที่เหลือผมจะจัดการเอง…รอกูก่อนเถอะมึง…ไอ้ฉลิม !”

…………………………………
* = จากภาพยนตร์เรื่อง My best friend wedding
หนัง AV = หนังโป๊ที่วางขายอยู่อย่างโจ๋งครึ่มในประเทศญี่ปุ่น อันว่าค่านิยมในการเห่อเหิมสินค้ามีแบรนด์เนมและค่านิยมฟุ้งเฟ้อต่างๆ นั้น วัยรุ่นญี่ปุ่นเป็นมาก่อนวัยรุ่นไทยหลายก้าวนัก เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยสาว พวกเธอที่อัตคัตในปัจจัยจึงยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของเหล่านั้น ทั้งนี้หมายรวมถึงการเอาตัวเข้าแลกก็ด้วย...

(ภาพ :Anonymous ที่มา : อินเตอร์เน็ต)


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak