ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

Chartvut Bunyarak, a man who fall in love with short story.

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม ๐๗, ๒๕๔๙

เรื่องสั้น:คนไร้ราก

คนไร้ราก

นั่นพวกเขากำลังจับกลุ่มมุงดูอะไรกันอยู่ล่ะ ดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังไม่หลับไม่นอนกันอีก เธอก็ไม่รู้เหรอ งั้นฉันว่าเราเดินไปดูกันดีกว่า…..อ้าว ! นั่นฉันนี่ แล้วฉันลงไปนอนจมกองเลือดอยู่อย่างนั้นได้ยังไง
เอ…แต่จะว่าไป มันก็เป็นภาพที่สวยดีเหมือนกันนะ ฉันชอบรอยหยักยึกยือไร้ระเบียบสีแดงเข้มนั่นจัง ดูได้องค์ประกอบศิลป์ดี…เธอเคยมองดูศพตัวเองไหม…น่าเสียดายนะ….. เธออยากรู้จริงๆ น่ะเหรอ…มานั่งตรงนี้สิ…ฉันจะเล่าให้ฟัง
1
มันเป็นยามบ่ายของวันที่ร้อนมากวันหนึ่ง ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำใต้ตึก 5 ของมหา’ลัย นัก
ศึกษาเดินเกาะกันเป็นกลุ่มใหญ่ผ่านหน้าฉันไปหลายกลุ่มแล้ว บ้างก็มาเป็นคู่เดินจูงมือกันไป บ้างก็เดินผ่านมาแต่เพียงลำพัง บรรยากาศโดยรอบดูอึกทึกเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกัน แต่แล้วจู่ๆ ความรู้สึกแบบเดิมๆ ที่เคยเกาะกินดวงวิญญาณของฉันตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน ก็เริ่มก่อตัวขึ้นอีกอย่างเงียบๆ แบบไม่มีเหตุผล หรืออาจจะมีแต่ฉันไม่รู้ หรือว่ารู้ เพียงแต่ตัวฉันเอง…ไม่ยอมรับมันเท่านั้น
พักหลังนี้ มันหมั่นมาเยี่ยมเยียนฉันบ่อยขึ้นและบ่อยขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งมันจะเลือกแวะ
เวียนมาหาในยามที่ฉันอยู่คนเดียวสงัดเงียบ แต่บางครั้งมันก็จะมาหา แม้ฉันจะอยู่ท่ามกลางกลุ่มอ้างอิงทางสังคมมากมายอย่างเช่นในวันนี้ ฉันเคยพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกำจัดมันออกไป ด้วยทางออกในหลายๆ วิธี เท่าที่สมองของฉันพอจะคิดได้ ทั้งการอ่านหนังสือซึ่งฉันคิดว่าน่าจะช่วยฉันได้ หนังสือหลายสิบเล่มทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี งานแปลหลากหลายประเภท ทั้งบทกวี กลอนเปล่า หนังสือปรัชญา หรือแม้กระทั่งหนังสือธรรมะ ได้ผ่านสายตาของฉันไปเล่มแล้วเล่มเล่า แต่มันก็ไม่สามารถช่วยอะไรฉันได้เลย…
บ่อยครั้งที่ฉันพยายามหลีกหนีโลกแห่งความเป็นจริง โดยหมกตัวเองอยู่กับโลกความจริง
เสมือนบนจอภาพยนตร์ เพื่อที่จะลืมเลือนความรู้สึกนี้…ความรู้สึกที่นำมาซึ่งคำถามมากมายที่ฉันไม่สามารถตอบได้ แต่ภาพฝันเรื่องแล้วเรื่องเล่า ก็ไม่เคยช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลยในความเป็นจริง… มันยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนฉันอย่างสม่ำเสมอ เฉกเช่นผองกัลยาณมิตรอันแสนดี มาเยือนสหายผู้รู้ใจยามป่วยไข้ ต่างกันตรงที่คราวนี้ฉันไม่เคยเต็มใจและเชื้อเชิญอยาก... และสิ่งที่มันนำติดมาด้วยก็หาใช่ดอกไม้สีสันสวยงาม ที่จะช่วยให้จิตใจอันแห้งเหี่ยวแล้งไร้ของคนป่วย สดชื่นขึ้นมาก็หาไม่ แต่กลับเป็นความเหงา โดดเดี่ยวและสับสน ที่มันไม่เคยลืมติดมือมาในทุกครั้งที่แวะเวียน
ก่อนที่ฉันจะกลายเป็นคนที่เหงาหงอย เซื่องซึม และดูเหมือนคนที่ไร้วิญญาณในวันนี้ ฉันพยายามแล้วพยายามอีก ในการที่จะหาคำตอบกับตัวเองให้ได้ว่า ความรู้สึกนี้คืออะไร ความรู้สึกแปลกแยกต่อตัวเอง ต่อชีวิต ต่อโลกอย่างนั้นหรือ ? แล้วมันมาจากไหน มันต้องการอะไรจากฉันกันแน่ แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผล… ฉันไม่เคยพบคำตอบใดที่จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง หรือว่าคำตอบเหล่านี้จะอยู่ในดินแดนของพระเจ้า ดินแดนที่อยู่ห่างออกไปไกลโพ้น ไกลเกินไปกว่าที่มนุษย์ตัวเล็กกระจิดริดอย่างฉันจะไขว่คว้าเอื้อมถึง หรือว่าสมองของมนุษย์เป็นอวัยวะที่ถูกสาปจากพระเจ้า…ฉันรู้สึกได้เพียงว่าขอบเขตของมัน ช่างดูลึกลับและห่างไกล เหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด ในทุกๆ ครั้งที่มันกลับมาเยี่ยมเยือนฉันอีก ฉันทุกข์ทรมาน…เหมือนถูกพระเจ้าถีบตกจากเรือโนอาห์ ปล่อยให้ล่องลอยอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางความมืดมิดของมหาสมุทรอันลี้ลับและกว้างใหญ่ไพศาล ไร้ซึ่งสิ่งยึดเหนี่ยวใดๆ…ฉันจะรู้สึกเหมือนอย่างเคย...อย่างเดิม…ฉันอยากจะยุติการเดินทางในหัวสมอง…ฉันอยากตาย.

2
สายลมยามดึกยังคงพัดมาเรื่อยๆ เอื่อยๆ ดูนุ่มนวลสม่ำเสมอ แต่บางคราวก็ไร้ระเบียบ... ดั่งมีใครสักคนที่ไม่รู้จัก คอยถือพัดอันใหญ่โบกวีสายลมร้อนและเย็นสู่ผืนโลก คืนลมหายใจให้กับทุกสรรพชีวิตได้โลดแล่นต่อไป จังหวะที่เคลื่อนไหวผันแปรไปตามอารมณ์...บ้างสะบัดโบกดุดัน ก่อเป็นคลื่นลมมหึมาพัดพาเอาทุกสิ่งที่ขวางหน้า อย่างกับต้องการบดขยี้ทุกอย่างให้ราพณาสูรไปในชั่วพริบตา ไร้ปราณี...บ้างบางเบาดั่งเช่นในคืนนี้ ธรรมชาติยังคงลี้ลับและยากจะเข้าใจอยู่เสมอ…
มันพัดพาเอาความเย็นมาปะทะผิวกาย พอให้ได้รู้สึกถึงความเหน็บหนาวและว้าเหว่ ประ
กอบกับบรรยากาศอันสงัดเงียบยามวิกาลเช่นนี้แล้ว ช่างเหมาะเสียเหลือเกินกับการนั่งเงียบๆ คนเดียวเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆ ค้นหาคำตอบที่อาจจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในเบื้องลึกของจิตใต้สำนึก ฉันลากเก้าอี้ออกมานั่งอยู่ริมระเบียงของห้องพัก ไม่ลืมที่จะหนีบขวดเหล้าติดมาด้วย
ความรู้สึกสับสนเมื่อยามบ่ายของหลายวันก่อน ถูกขุดค้นขึ้นอีกครั้ง สำหรับในครั้งนี้ฉันพยายามมากกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา กับการทำความเข้าใจความรู้สึกของตนเอง ฉันเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามกับตัวเองก่อน ทำไมบ่ายวันนั้นฉันถึงรู้สึกว่าอยากตาย เพราะฉันรู้สึกไม่เป็นสุขกับสภาวะที่เป็นอยู่อย่างนั้นหรือ...ฉันเบื่อ ฉันเหงา โดดเดี่ยว อ้างว้าง แปลกแยก และรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า…ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก ไม่มีใครต้องการฉันเลย พ่อก็สนใจแต่แม่เลี้ยงฉัน เวลาทะเลาะกัน พ่อก็จะเข้าข้างเขาทุกครั้งไป ฉันต้องกลายเป็นคนผิด รอรับคำพิพากษาและโทษทัณฑ์ในความผิดที่ฉันไม่ได้เป็นผู้ก่อ มีพ่อ แม่ ลูก รวมกันเป็นครอบครัว แต่ฉันไม่ใช่ รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ฉันหลบออกมาอยู่คนเดียวข้างนอก พ่อก็ไม่สนใจ
ฉันจำไม่ได้แล้วว่าพ่อกอดฉันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ฉันกลับจำภาพที่พ่อเอาปืนจ่อหัวฉันตอนที่เราทะเลาะกันได้ดี… ภาพที่พ่อโยนเงินค่าขนมให้ฉันเมื่อหลายปีก่อน ธนบัตรสีม่วงค่อยๆ ปลิวคว้าง หมุนวนลงมาช้าๆ ตกอยู่ที่ปลายเท้า ฉันยืนนิ่งมองดูมันอยู่นานกว่าจะก้มลงหยิบใส่กระเป๋า… ภาพที่ฉันนั่งกระดกเหล้าเพียวอยู่คนเดียวทั้งวันที่หลังห้องน้ำภารโรง ฉันแอบอยู่ที่นั่นตั้งแต่เช้าถึงเย็น ก็เงินที่พ่อให้มานั่นแหละ…ฉันเกลียดพ่อ…แต่ฉันก็รักพ่อ…เพราะฉันไม่มีใครให้รักได้อีกแล้ว…แม่น่ะเหรอ ฉันแทบไม่เคยมีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับแม่ในหัวสมองเลย จนกระทั่งอายุยี่สิบสอง อยู่ๆ แม่ก็เดินกลับเข้ามาในชีวิตฉัน แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว มันคงจะไม่มีทางเหมือนเดิมได้ ฉันไม่เคยมีแม่มานานเกินไปจนไม่รู้ว่าการเป็นลูกของแม่เป็นยังไง แม่กอดฉัน ฉันกอดตอบแม่แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันไม่โกรธแม่หรอกที่ทิ้งฉันไป ไม่ได้เกลียดด้วยแต่ฉันก็มั่นใจว่าไม่ได้รักแม่เลย...
เพราะเหตุนี้ใช่ไหมนะ ฉันถึงรู้สึกไม่เคยเชื่อมั่นในความรักของเพศแม่เลย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่เคยรักใครจริง มันเป็นความรู้สึกขัดแยังกัน คล้ายกับมือฉันไขว่คว้าโอบกอดความรักเข้าหาตัว แต่ตีนฉันกลับถีบไสไล่ส่งมันออกไป มันเป็นปมในจิตใจที่ฉันแก้ไม่ออก แต่ฉันก็ไม่อาจต้านทานสัญชาตญาณดิบได้หรอก ฉันเคยมีคนรักมาหลายคนแล้ว แรกๆ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อไหร่ที่ฉันรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามตั้งเงื่อนไขหรือเริ่มเรียกร้องอะไรจากฉัน ฉันก็จะเริ่มไม่เชื่อมั่นในความรักของผู้หญิงคนนั้นทันที ฉันจะหวาดระแวงและสงสัย กลไกป้องกันทางจิตภายในจะเริ่มทำงานของมันทันที มันจะสร้างกำแพงสูงใหญ่แข็งแรงขึ้นมาขวางกั้นระหว่างฉันและคนรัก ทำให้เราเหินห่างกันออกไป แปลกแยกต่อกัน ปราศจากความสามารถที่จะสื่อสารให้เข้าใจกัน ในที่สุด…ก็ต้องเลิกรากันไปคนแล้วคนเล่า
ให้ตายเถอะ เธอรู้ไหมว่าฉันทรมานมากแค่ไหน ที่ไม่สามารถทุบทำลายไอ้กำแพงระยำนี่! บ่อยครั้งเข้ามันทำให้ฉันตั้งคำถามถึงการมีอยู่จริงของความรัก หรือว่าอันที่จริงแล้วความรักไม่เคยมีอยู่กันแน่ ความรักไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงสิ่งที่มนุษย์เราปรุงแต่งขึ้นมาให้ชีวิตอันแห้งเหี่ยวสิ้นหวังดูมีสีสันมีชีวิตชีวา มีความหวังขึ้นมาบ้าง หากแต่ในความจริงแล้วความรักเป็นเพียงกลอุบาย เป็นเงื่อนไขอันซับซ้อนที่ธรรมชาติสร้างมา หลอกล่อมนุษย์เราให้สืบสานดำรงเผ่าพันธุ์ไม่ให้สาบสูญไป หรือความรักเป็นเพียงอาภรณ์ที่ห่อหุ้มเนื้อในแห่งสัญชาตญาณการสืบพันธุ์เท่านั้น…
บางขณะที่ฉันกำลังร่วมรักกับคนรัก เธอรู้ไหมว่าฉันกลับไม่ค่อยเป็นสุขเหมือนอย่างที่คนอื่นเขาเป็นกัน ฉันทำไปอย่างแกนๆ... บางครั้งฉันนึกไปถึงภาพสัตว์กำลังสมสู่กันที่เห็นมาจากโทรทัศน์ ทั้งสิงห์โต เสือ กวาง ช้าง นก หรือกระทั่งหมา ดูๆ ไปมันก็ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่ฉันกำลังปฏิบัติอยู่สักเท่าไหร่นัก ในแง่นี้ฉันจึงมิได้กำลังร่วมรัก หากแต่เป็นกระบวนการของการปลดเปลื้องบางสิ่งบางอย่าง การถ่ายเทของเหลว การปรับระบบชีวเคมีในร่างกายให้กลับสู่ภาวะสมดุลเท่านั้นเอง... ขณะนั้นฉันกลายเป็นเครื่องจักรทางเพศ กระทำตามคำสั่งที่ถูกโปรแกรมมา ไร้หัวใจไร้ความรู้สึก ฉันปฏิบัติต่อคนรักเหมือนเธอเป็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่งเท่านั้น ถึงจุดสุดยอดแล้วก็จบกันไป หรือว่าเซ็กซ์เป็นเพียงมุขตลกของพระเจ้า... เธอเริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างแล้วใช่ไหม...
ส่วนความรักของพ่อแม่ที่ว่ากันว่าเป็นความรักที่สูงส่งประเสริฐที่สุดนั้นเล่า ฉันก็ไม่เห็นว่าจะมีอยู่สักเท่าไหร่กันเชียว ส่วนใหญ่แล้ว หันไปก็เห็นแต่รูปแบบที่แปลงปลอมมาในนามของความรัก In the name of Love กันทั้งนั้น…ความรักที่เต็มไปด้วยเงื่อนไข…ตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่งๆ สอบให้ได้ที่หนึ่งนะลูก พ่อจะรักและภูมิใจในตัวลูกมากเลย…หนูต้องสอบเอนทรานซ์ให้ติดนะลูก อย่าให้แม่ต้องขายขี้หน้าเพื่อนๆ เขาล่ะ ถ้าหนูติดแม่จะซื้อรถให้…ถุย ! ฉันอยากจะอ้วก นี่น่ะหรือความรักบริสุทธิ์ที่เอ่ยอ้างกัน จริงๆ แล้วมันก็แค่รูปแบบหนึ่งของการรักตัวเองเท่านั้นล่ะวะ ฉันก็เห็นแต่ทุกคนอ้างว่า “รัก” กันทั้งนั้น ถ้าสิ่งที่พวกเขาพูดๆ กันมันเป็นจริงแม้เพียงครึ่ง โลกก็คงจะไม่วุ่นวายอย่างทุกวันนี้หรอก... บางครั้งเวลาฉันมองหน้าเพื่อน ทำไมฉันเห็นแต่คำว่าผลประโยชน์ การหลอกใช้ หรือว่าการแลกเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ของมนุษย์ ฉันควรจะยอมรับมันใช่ไหม…
ในที่สุดฉันก็เริ่มกันตัวเองออกจากสังคม หมกมุ่นอยู่กับตัวเองมากขึ้น พักหลังมานี้ฉันมักจะหนีหน้าเพื่อนๆ ไปดื่มคนเดียวที่ร้านไกลๆ ที่ๆ ไม่มีใครรู้จักฉัน...ฉันหลบไปคิดคนเดียว…เธอเริ่มรู้สึกแล้วใช่ไหม…ว่าฉันป่วย ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ ฉันเคยบอกพ่อนะ ว่าฉันอยากไปพบจิตแพทย์ เธอรู้ไหมพ่อว่ายังไง…เขาหัวเราะใส่หน้าฉัน… เธอไม่ดื่มหน่อยเหรอ งั้นฉันขอพักดื่มสักนิดนะ…
ฉันหลบไปคิดอะไรคนเดียวน่ะเหรอ โอย...หลายอย่างเลยล่ะ เมื่อฉันรู้สึกแปลกแยกต่อชีวิต ต่อโลก และแม้กระทั่งต่อตัวฉันเอง ฉันจึงพยายามคิดหาคำตอบต่อคำถามพื้นฐานทางอภิปรัชญาให้กับตัวเอง…คนเราเกิดมาทำไม เพื่ออะไร ทำไมเราจึงเกิดมาบนโลกใบนี้ อะไรคือความหมายแห่งการดำรงอยู่ อะไรคือความหมายของชีวิต พระเจ้ามีตัวตนอยู่จริงไหม ถ้ามี...อะไรคือวัตถุประสงค์ที่ทำให้เขาส่งฉันมาเกิด เจตจำนงเสรีมีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าไม่มีหมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกกำหนดมาแล้วใช่ไหม อย่างนั้นการที่ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ในเมื่อฉันไม่สามารถฝืนโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาแล้วได้เลย มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นกระบอกให้เขาชักเชิด…เท่านั้นน่ะหรือ
ฉันยิ่งคิด ยิ่งค้น...ก็พบแต่ความว่างเปล่า…หรือว่าความว่างเปล่าคือคำตอบ…ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรมากไปกว่า การที่คนเราเกิดมาเพื่อที่จะแก่ เพื่อที่จะเจ็บป่วย และเพื่อที่จะตายไปในวันหนึ่ง…กิน-ขับถ่าย-สืบพันธุ์-นอน... ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ที่เราทำไปในแต่ละวัน สุดท้ายแล้วฉันเห็นว่ามันต่างก็เป็นไปเพื่อสนับสนุนกิจกรรมหลักทั้งสี่อย่างนั้นไม่ทางตรงก็ทางอ้อม…เท่านั้นเอง ไร้ทั้งสาระและแก่นสาร ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ที่รอเราอยู่…
พระเจ้าน่ะเหรอ ฉันไม่รู้หรอกว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า แต่ถ้ามีอยู่จริงล่ะก็ ฉันบอกได้เลยว่าไม่ค่อยชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่ ฉันว่าเขาเป็นโรคจิตยิ่งกว่าฉันเสียอีก ก็เธอลองดูวิธีที่เขาเลือกทรมานมนุษย์สิ มันโหดร้ายทารุณเสียยิ่งกว่า เอาจิตใจอันอำมหิตของฆาตกรต่อเนื่องสักสิบคนมารวมกันเสียอีก…คอยดูเถอะ อย่าให้ฉันมีโอกาสได้เจอนะ…อืมม์ เธอเข้าใจถูกแล้วล่ะ ฉันมันพวกนอกศาสนา แต่ไม่ใช่เพราะฉันคิดว่ามันงมงายหรอกนะ ตรงกันข้ามฉันเชื่อว่าทุกศาสนาส่วนใหญ่ในโลกนี้ ต่างก็มีจุดดีของตัวเอง สอนให้เป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้นแหละ ฉันก็เลยนับถือมันไปหมดทุกศาสนาแต่ไม่ยึดติดนัก เลยบอกไม่ได้ว่าตัวเองศาสนาอะไร อีกอย่างฉันรู้สึกว่าการระบุลงไปว่าฉันนับถืออันนี้ไม่ใช่อันนั้น ยิ่งจะเป็นการแบ่งแยกมนุษย์เราออกจากกันมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ฉันไม่ได้หลับหูหลับตานับถือไปหมดหรอกนะ ฉันเลือกเอาแต่ที่ฉันคิดแล้วเห็นดีด้วยว่าเป็นคำสอนที่มีประโยชน์เท่านั้นแหละ…
เธอคงไม่ปฏิเสธหรอกนะ ว่าบางอย่างมันก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่นัก หรือไม่ก็ล้าสมัยเกินไปแล้ว…ฉันไม่อยากทำตัวเป็นพวกเคร่งศาสนาแต่ปากว่าตาขยิบ แม่งหลับหูหลับตาท่องบทสวดได้เป็นชั่วโมงๆ แต่เสือกไม่เคยเข้าใจความหมาย ไม่เคยเข้าใจหลักที่แท้จริงของคำสอนว่าเขาพูดถึงอะไร มุ่งไปสู่อะไร ศาสนาสอนให้คนมีความรักในหัวใจ มีเมตตาและปรองดองกัน…แต่ทุกวันนี้โลกเรามันเป็นอะไรไปแล้ว…รอยแยกในจิตใจคนแบ่งแยกมนุษย์ออกจากกัน...
เธอเปิดหนังสือพิมพ์ดูสิ ฉันต้องเสียน้ำตาให้กับภาพเด็กชายตัวน้อยที่ค่อยๆ สิ้นใจในอ้อมอกพ่อ เพราะลูกปืน ! ฝ่ายพ่อก็โอบกอดลูกน้อยสุดกำลังด้วยหวังว่าจะใช้กายตนเป็นกำบังรองรับลูกปืนแทน ! เขาคงลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้ใส่ชุดเกราะ ผิวกายตนเองไม่ได้ทำด้วยเหล็กไหล หากแต่เป็นเนื้อนุ่มๆ มีเลือดไหลเวียนอยู่ข้างในเหมือนเธอเหมือนฉัน…เขาตายทั้งคู่…ไม่รู้ใครตายก่อน พ่อตายก่อน หรือลูกตายก่อน...ระยำ…สงครามศาสนา… โถ่เอ๊ย ! ไอ้พวกมนุษย์หน้าโง่ ! มึงบอกว่ารักพระเจ้า แล้วยังเสือกใช้พระเจ้ามาเป็นข้ออ้างในการทำสงคราม พระเจ้าพ่อมึงสิสอนให้คนฆ่าคน ! ส้นตีนเอ๊ย !…กี่สิบกี่ร้อยล้านคนแล้วที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับสงครามศาสนางี่เง่านั่น แล้วยังจะต้องอีกกี่ล้านคนกัน พวกมึงถึงจะพอใจ ไอ้ควาย !
ฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะที่ก้าวร้าวไปหน่อย มันอดไม่ไหวน่ะ…เธอคงเข้าใจนะ เพราะเธอก็อยู่บนโลกใบเดียวกันกับฉันนี่ โลกที่กำลังป่วยไข้ ...สังคมเรากำลังเสื่อมโทรมลงทุกวัน รอวันล่มสลาย ยอดมนุษย์ทั้งหลายคงต้องนัดกันฆ่าตัวตายหมู่ เพราะไม่มีคุณธรรมใดๆ หลงเหลือไว้ให้พิทักษ์แม้แต่ในหน้าหนังสือการ์ตูน…คำว่าจริยธรรมกำลังค่อยๆ เลือนหายไปจากหน้าพจนานุกรม คุณธรรม ศีลธรรม มโนธรรมในจิตใจคนแห้งเหือด ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวัตถุสวนทางกันกับความตกต่ำในจิตใจคน…
ฆ่าข่มขืน – ข่มขืนฆ่า – ฆ่าข่มขืน - ข่มขืนฆ่า…ทุกวัน พ่อข่มขืนลูก – ปู่ข่มขืนหลาน - หลานข่มขืนยาย…พ่อขี้เมาเตะลูกน้อยตายคาตีน…แม่บังเกิดเกล้าบังคับลูกวัยสิบสามแต่งงานใช้หนี้…พ่อส่งลูกสาวขายซ่องเอาเงินมาซื้อทีวี… เราอยู่ในยุคสมัยที่นักศึกษาขายตัวเอาเงินมาซื้อกระเป๋าถืออวดกันเป็นเรื่องธรรมดา…ยุคสมัยที่คนดีกลายพันธุ์เป็นคนเลว คนเลวกลายเป็นโคตรเลว สังคมเต็มไปด้วยความหลอกลวง ความจริงใจกลายเป็นของแสลง ความเห็นแก่ตัวกลายเป็นเรื่องปกติที่ยอมรับได้…การแก่งแย่งแข่งขันเพื่อให้ได้มาโดยไม่คำนึงถึงวิธีการว่าจะชั่วช้าต่ำทรามเพียงใด…อย่าเผลอหันหลังให้นะ - กูจะแทงมึง เผลอเมื่อไหร่ – กูจะเฉือนเนื้อมึงมากิน !
3
เธอเริ่มเข้าใจหรือยังล่ะ ว่าทำไมฉันจึงฆ่าตัวตาย เธอจะให้ฉันทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรบนโลกเฮงซวยใบนี้ ถ้าขืนฉันยังมีชีวิตอยู่ต่อไป…ไม่แน่วันหนึ่งฉันอาจจะกลายพันธุ์ก็ได้ เธอเคยสงสัยเหมือนฉันไหมว่า ทำไมประวัติศาสตร์ของโลกและการวิวัฒนาการไม่เป็นเรื่องของการพัฒนา แต่กลับเป็นจุดจบและกลับไปสู่ความเป็นศูนย์…ครั้งแล้วครั้งเล่า อะไรคืออุปสรรคที่ขวางกั้นผู้คนจากการเข้าถึงระดับขีดความสามารถในการพัฒนาความเป็นปัจเจกชนของตัวเอง ? ฉันจะบอกให้…เธอสามารถพบคำตอบต่อคำถามนี้ได้ในคำถามอื่น ซึ่งก็คือ อะไรคือลักษณะนิสัยส่วนใหญ่ของมนุษย์บนโลกนี้ ความกลัวหรือความขี้เกียจ ?
อืมม์...ใช่...นั่นล่ะต้นตอของปัญหาทั้งหมด และโลกจึงยังเป็นอยู่อย่างเช่นทุกวันนี้ไงล่ะ
ทีนี้เธอคงเข้าใจแล้วสินะว่า ทำไมฉันจึงรู้สึกแปลกแยกต่อตัวเอง ต่อชีวิต และต่อโลก…ก็อาจจะจริงอย่างเธอว่านะ ฉันคงอ่อนแอเกินไป ฉันคงเป็นโรคจิต แต่ช่างมันเถอะฉันไม่แคร์หรอก ยังไงฉันก็ได้ในสิ่งที่ฉันต้องการแล้ว ฉันได้ตายสมใจ เธอรู้ไหม ฉันทำใจอยู่นานมากนะกว่าจะกล้ากระโดดลงมา…เธอดูนั่นสิ…ฉันชอบรอยหยักยึกยือไร้ระเบียบสีแดงเข้มนั่นจัง เธอลองมองดูสิ ฉันว่ามันสวยดีนะ.

…………………………………………..

ภาพประกอบจากเว็บไซด์ http://www.klongrua.com/board/view.php?id=0233


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak