ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

Chartvut Bunyarak, a man who fall in love with short story.

วันอังคาร, กันยายน ๑๘, ๒๕๕๐

บทความเกี่ยวกับภาพยนต์:สิบสามเกมสยอง

มีรายการเกมโชว์อยู่บางประเภทซึ่งผมเองไม่ค่อยนิยมจะเสพรับนัก...หาใช่จะแสร้งดัดจริตรับไม่ได้หรือผะอืดผะอมพานจะอ้วก ยามที่ผู้ร่วมแข่งขันในรายการยัดสิ่งมีชีวิตประหลาดๆ จำพวก ไส้เดือน แมงมุม แมลงสาบ หรือสิ่งที่มนุษย์เราไม่สมควรจะกิน อาทิ ไส้ปลาหมึกเน่า ปลาเน่า ลูกตาวัว ลูกตาแกะ เข้าปาก ก่อนจะเบ้หน้าหยีตาเคี้ยวกร้วมๆ แล้วกลืนลงคอ...อะไรนั่นหรอก
เพราะหากจะกล่าวตามจริงแล้ว โปรดิวเซอร์ของรายการเหล่านั้นก็มักฉลาดมากพอจะรู้ได้ว่า เมื่อสุดขอบด้านหนึ่งนั้นมืดสนิท ก็จักสมควรแต่งเติมอะไรบางอย่างเข้าไป เพื่อให้น้ำหนักและอารมณ์ของสารที่ส่งออกมามีความกลมกล่อมสมดุลละมุนลิ้นยิ่งขึ้น คล้ายๆ กับการล่อหลอกให้เด็กๆ กินผักนั่นแหละ และไอ้ “อะไรบางอย่าง” ที่ว่านั้น ก็หาใช่อื่นใดนอกเสียจาก นมตู้มๆ บั้นท้ายอวบอิ่ม อีกทั้งตะโพกกลมกลึง ที่เชื่อมอยู่กับวงหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าชังของผู้เข้าแข่งขันสาวสวย หรือหากเป็นผู้ชาย จุดขายก็วางเห็นเด่นชัดเป็นสันนูนอยู่หกลูก (Six Packs) ตรงหน้าท้องนั่นไง ยังไม่นับมัดกล้ามมโหฬารเกินธรรมดา กับกางเกงแนบเนื้อที่จงใจจะอวดโชว์แก่นแกนของความเป็นชายนั่นอีก
ไม่ใช่ไม่ชอบหรอกครับ ไอ้ชอบน่ะชอบแน่นอน แต่ที่ไม่นิยมเปิดดูบ่อยนัก เป็นเพราะผมรู้สึกเอาเองว่ารายการทำนองนี้มัน “จริง” เกินไปหน่อย...จริงในแง่ที่ว่ามันช่างตีแผ่ธาตุแท้ของความเป็น “คน” ออกมาได้อย่างสมจริงเสียนี่กระไร สมจริงเสียจนรู้สึกกลัวว่าหากเผลอเสพรับจนเกินขนาด ดีไม่ดีอาจเตลิดไปไกลถึงขั้นเข้าถึงสัจธรรมอะไรนั่น เดี๋ยวชีวิตที่เหลืออยู่จะพานแล้งไร้หมดสนุกไปเสียฉิบ...
ก็คุณเชื่อไหมเล่าครับว่า ที่พวกเขาเหล่านั้น “ยอม” คว้าแมงมุมตัวเป้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ “ยัด” เข้าปากแล้วเคี้ยวนั้น พวกเขาทำไปเพียงเพื่อต้องการก้าวข้ามให้พ้น “ขีดจำกัด” (Limit) ของตัวเองในเรื่อง “ความกลัว” (Fear) สมดังเจตนารมณ์รายการที่ตั้งชื่อไว้ว่า “Fear Factor” มิพักต้องพูดถึงว่าแท้จริงแล้วความอยากรู้ว่าข้อจำกัดของตนเองอยู่ตรงไหน และเราสามารถที่จะเอาชนะตัวเองได้หรือไม่นั้น ก็หาใช่สารัตถะเพียงหนึ่งเดียวของชีวิต ดูอย่างตัวผมนั่นปะไร แต่ไหนแต่ไรมากลัวความสูงเป็นที่สุด ตอนได้รู้จักบันจี้จั๊มป์ครั้งแรก เคยนึกเล่นๆ ว่าน่าจะลองดู แต่เอาเข้าจริงเมื่อใช้สมองไตร่ตรองถ้วนถี่ดีแล้ว ผมสัญญากับตัวเองเลยว่าอย่างน้อยต้องมีคนจ้างให้โดด ด้วยตัวเลขเจ็ดหลักเป็นอย่างต่ำ! ผมถึงจะยอมเสี่ยง...
สังเกตไหมครับว่าเงื่อนไขของผมคือจำนวน “เงิน” ที่ต้อง “มากพอ”...แต่ทุกอย่างคงจะเปลี่ยนไป หากบังเอิญว่าตอนนั้นสถานการณ์ชีวิตผมกำลังตกอยู่ในช่วงคับขัน เช่น พ่อป่วยหนัก-แม่กำลังจะตายต้องการเงินไปรักษา คนที่รักกันมานานกำลังจะทิ้งไปเพราะทนอยู่กับความลำบากต่อไปไม่ไหว หรือผมอาจโดนไล่ออกจากงานพร้อมใบทวงหนี้ปึกใหญ่และเลขตัวแดงที่กำลังจะสูงท่วมหัว...ไม่แน่...หากเป็นเช่นนั้นเงื่อนไขของผมอาจจะลดน้อยถอยลง เหลือเป็นจำนวนเงินเพียงไม่กี่หมื่นบาท
หรือแท้จริงแล้ว...สิ่งจูงใจที่ทำให้พวกเขายัดแมงมุมตัวใหญ่ๆ เข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ ได้นั้นคือ “เงิน”...

อย่าเพิ่งงงไปเลยครับ...คุณไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไปหรอก และผมก็กำลังเขียนถึงหนังเรื่อง “13 เกมสยอง” จริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจงใจจะ “ปกปิด” เนื้อหาของภาพยนตร์ที่กำลังเขียนถึง นั่นเป็นเพราะ “13 เกมสยอง” เป็นหนึ่งในหนังไทยเพียงไม่กี่เรื่องที่ประทับอยู่กลางใจผมในช่วงเวลาหลายปีมานี้ สรุปสั้นๆ ก็คือเป็นหนังดีมีคุณธรรมครับ! มันทั้งบีบคั้น กดดัน ตั้งคำถาม เชือดเฉือน โบยกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า...แต่ทั้งหมดนั้นต่างก็เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์เดียวคือ กระตุ้นให้หยุดคิด...เพื่อค้นหาความหมายของอะไรบางอย่าง
ระหว่างที่ชม...คำถามหนึ่งวนเวียนอยู่ในก้อนสมอง... “อะไรทำให้คนต่างจากหมา”
หลังภาพยนตร์จบ...ผมพลันตระหนักว่าคำถามที่ตั้งกับตัวเองเมื่อครู่อาจผิดไป มันดูจะไม่ยุติธรรมกับหมาสักเท่าไหร่ เพราะหลายหลากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า คงมีแต่เพียงมนุษย์ที่จักกระทำเยี่ยงนั้นได้...
หรือแท้จริงแล้ว...คำถามที่ถูก ผมควรจะตั้งเสียใหม่ว่า... “อะไรทำให้หมาต่างจากคน”

.....................................


All Rights Reserved
2007 Copyright©Chartvut Bunyarak