ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

Chartvut Bunyarak, a man who fall in love with short story.

วันเสาร์, มกราคม ๑๓, ๒๕๕๐

เรื่องสั้น:ตาบอด

ตาบอด

อีกสิบนาทีก็จะครบสองชั่วโมงแล้วที่ผมนั่งอยู่ที่นี่ ป้ายรถเมล์อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทอดสายตาออกไปเบื้องหน้า รถราวิ่งกันขวักไขว่ เสียงแตรรถบีบไล่กันก่อสำเนียงรบกวนโสตประสาท ถ้าเป็นปกติผมคงรู้สึกรำคาญและนึกด่าคนขับอยู่ในใจ แต่ไม่เลย วันนี้ผมกลับรู้สึกสงบ...เงียบ
ผู้คนมากมายเดินสวนกันผ่านหน้าผมไปหลายร้อยคนแล้ว ทุกคนดูเร่งรีบเหมือนมดงานก้มหน้าก้มตาแบกอาหารกลับรวงรังก่อนที่ฝนจะตก ตรงป้ายที่ผมนั่งมีผู้ร่วมชะตากรรมอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคนเห็นจะได้ บางคนนั่ง บางคนยืน ทุกครั้งที่มีรถเมล์วิ่งเข้ามาจอดเทียบที่ป้าย ทุกคนจะชะเง้อคอสอดส่ายสายตามองดูหมายเลขรถ ว่าจะใช่สายที่นำพวกเขาไปสู่จุดหมายปลายทางหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะเดินไปยืนรออยู่บริเวณริมฟุตบาท การเดาใจคนขับว่าจะหยุดรถรอรับ-ส่งผู้โดยสารที่ตรงไหนถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนกรุงเทพฯ เพราะนั่นหมายถึงลำดับที่คุณจะได้ก้าวขึ้นรถก่อนหรือหลัง ก่อนหมายถึงคุณมีโอกาสได้เลือกตำแหน่งที่นั่งที่ดีที่สุดก่อน หลังอาจหมายถึงคุณจะต้องยืนโหนรถเมล์ฝ่าควันพิษและการจราจรอันแสนสาหัสไปจนถึงปลายทาง นั่นอาจใช้เวลาร่วมชั่วโมงหรือนานกว่านั้น เชื่อผมเถอะมันไม่ใช่เรื่องสนุกหรอก… บางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า คุณสามารถรู้ได้ว่าใครเป็นคนกรุงเทพฯ หรืออยู่กรุงเทพฯ มานานด้วยการสังเกตพฤติกรรมการใช้รถเมล์...คุณล่ะว่าไง... ชีวิตเมืองเต็มไปด้วยการแก่งแย่ง แข่งขัน เอารัดเอาเปรียบและความเร่งรีบ บางครั้งเราก็รีบกันเสียจนหลงลืมบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญในชีวิต มองข้ามสิ่งดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย...
นั่นไง มาอีกคันหนึ่งแล้ว...รถสายที่ผมรออยู่ เป็นคันที่แปดแล้วในรอบสองชั่วโมง ผมตัดสินใจไม่ไปทั้งที่จริงนี่ก็เลยเวลานัดมาชั่วโมงกว่าแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกเพื่อนๆ คงเข้าใจ ผมยังอยากนั่งมอง นั่งคิด นั่งคุยกับตัวเองอีกสักพัก ไม่บ่อยนักหรอกที่ผมได้ทำแบบนี้ คุณว่ามันแปลกไหมที่เราต่างก็รู้กันดีอยู่ว่าทุกคนต้องการบางเวลาอยู่กับตัวเอง พูดคุยกับตัวเอง ทบทวนถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา แต่เรากลับไม่ค่อยจะทำกันนัก ผมนึกถึงเนื้อร้องท่อนหนึ่งในเพลง November Rain ที่วง Guns N’ Roses ร้องเอาไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว “Everybody needs some time on their own – Don’t you know you need some time…all alone” เป็นไปได้ไหมว่า เพราะเราต่างละเลยที่จะสำรวจตรวจสอบสิ่งที่ตัวเองคิด พูด และทำ เราต่างเคยชินกับการมองไปรอบตัวแล้วตัดสินประเมินค่า พิพากษาสิ่งต่างๆ แต่ลืมที่จะหันมามองดูตัวเอง พิพากษาตัวเองและกล้าพอที่จะเป็นผู้รับผิด...โลกถึงได้เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้
คุณอย่าเพิ่งหาว่าผมบ้านะ ปกติผมก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก แต่บังเอิญว่ามันมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ป้ายรถเมล์เมื่อเช้านี้…บางสิ่งบางอย่างมันกระทบจิตใจ ผมยังจำภาพสุดท้ายนั้นได้ติดตาและมันคงยังอยู่ติดใจผมไปอีกนาน คุณอยากรู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้ผมมานั่งเหม่อลอยอยู่ที่นี่เกือบสองชั่วโมงแล้ว มา...ผมจะเล่าเรื่องของไอ้ต้นให้คุณฟัง เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก เราทั้งสองสนิทกันมาก…
เมื่อเช้านี้เขาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นจิตใจร่าเริงแจ่มใส ออกจะเบิกบานเกินเหตุเล็กน้อยจนคนที่บ้านทักว่าทำไมอารมณ์ดีจัง เขาได้แต่ยิ้มๆ แทนคำตอบ ทั้งที่จริงเมื่อคืนเขานอนดึกมากเพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์จนเกือบตีสาม เขาบอกผมว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเคยคุยโทรศัพท์นานๆ อย่างนี้คือสมัยที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม แน่นอน เขาคุยกับผู้หญิง แต่ไม่ใช่คนที่เป็นแฟนเขาอยู่หรอกนะ เป็นผู้หญิงซึ่งเขาเพิ่งรู้จักในผับเมื่อเสาร์ที่แล้ว ตอนเราไปเที่ยวด้วยกัน อาจเป็นเพราะบทสนทนาทางโทรศัพท์ก็ได้ที่ทำให้เขาอารมณ์ดี วันนี้เขานัดเจอเธอที่สยามสแควร์พร้อมเพื่อนๆ อีก 2-3 คน
เขาอาบน้ำและแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน เลือกเสื้อและกางเกงตัวที่ชอบที่สุดออกมาใส่ พ่นน้ำหอมกลิ่นโปรดก่อนออกจากห้อง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่เขาก้มลงใส่รองเท้าก่อนออกจากบ้าน...แฟนของเขานั่นเอง ทั้งคู่คบกันมาตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ม.3แล้ว เธอชวนเขาไปดูหนังที่สยาม
สแควร์ เขาบอกเธอไปว่าวันนี้จะต้องไปทำธุระกับเพื่อน…เรื่องงาน การต้องโกหกทำให้เขารู้สึกผิดเล็กน้อยแต่ก็ลืมมันไปได้อย่างรวดเร็ว เขาเดินทอดน่องสูบบุหรี่อย่างสบายอารมณ์ ไม่มีอะไรต้องรีบร้อนยังมีเวลาเหลือเฟือ อนุสาวรีย์ฯ-สยามสแควร์ใกล้แค่นี้เอง เขามั่นใจว่าจะต้องไปถึงที่นัดหมาย-ร้านมิสเตอร์โดนัทก่อนเธออย่างแน่นอน มีเวลาเข้าห้องน้ำไปใส่เยลหวีผม เสริมหล่อได้อีกตั้งสองสามรอบเพื่อให้ตัวเองดูดีที่สุด เขาอยากให้เธอประทับใจตั้งแต่นัดครั้งแรก เขาคิดอย่างนั้น
ไม่นานเขาก็เดินมาถึงป้ายรถเมล์ มีคนรอรถอยู่ก่อนหน้าเขา 7-8 คน ไม่ถือว่าเยอะแต่มากพอที่จะทำให้ที่นั่งเต็มได้ เขาเลือกยืนตรงใกล้ๆ เสาด้านซ้ายของป้ายรถเมล์ ลองชะเง้อดูรถสายที่รอแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊กๆ มาจากทางซ้ายมือ เป็นจังหวะสม่ำเสมอเหมือนเสียงโลหะกระทบกับของแข็งบางอย่าง ดังขึ้นๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงหันไปดู... ภาพที่ปรากฏต่อสายตาในระยะห่างไม่เกินสิบเมตร คือชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามาที่ป้ายรถ ที่หัวไหล่ด้านซ้ายของทั้งคู่มีผ้าสีขาวๆ คล้องอยู่ มันผูกต่อกับกล่องไม้บางๆ ที่พวกเขาหนีบไว้ใต้วงแขน ข้างในต้องเป็นล็อตเตอรี่แน่ๆ...เขาคิดในใจ ฝ่ายหญิงยกแขนซ้ายขึ้นมาด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อให้ฝ่ายชายยึดเกาะแขนของตน ในมือขวาของผู้หญิงมีด้ามโลหะขนาดเล็ก ยาวไม่เกินสามฟุต เธอใช้มันเคาะพื้นคลำทาง นี่เองที่ส่งเสียงดังก๊อกแก๊ก...เขาคิด
ทั้งคู่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าดูทุลักทุเลพอควร ฝ่ายหญิงคอยร้องเตือนบอกฝ่ายชายให้ระมัดระวังจุดที่อาจจะเดินสะดุดได้ เขาพอจะได้ยิน มันช่างเป็นภาพที่งดงามและน่ารักเหลือเกินในความรู้สึกของเขา…มนุษย์สองคนถ้อยทีถ้อยอาศัยช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แต่ละก้าวที่ย่างผ่านเต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยและเอื้ออาทรระหว่างกัน...ชั่ววินาทีนั้นเขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างทั้งสองได้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นคนๆ เดียวกัน คล้ายมีรังสีอะไรบางอย่างส่องประกายเรืองรองออกจากร่างนั้นวูบวาบวิบไหว…
เขารู้ได้ในทันใดว่าทั้งคู่จะต้องเป็นคู่รักหรือไม่ก็เป็นสามี-ภรรยากันเป็นแน่ เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา สัญชาตญาณคงบอกให้เธอรู้ว่าตรงนี้มีคนยืนอยู่ เธอหันหน้ามาทางเขาแต่ก็ไม่ถูกทิศดีนัก เธอบอกขออภัยที่ต้องรบกวนเขา เธออยากให้เขาช่วยดูรถเมล์สายที่เธอกำลังรอให้ด้วย เขาตอบไปว่าได้ถ้ามาแล้วเดี๋ยวจะบอกให้รู้ เธอกล่าวขอบคุณ เขาบอกไม่เป็นไร เธอจึงหันกลับไปพูดคุยกับคนที่มาด้วยกัน เขาจึงได้รู้ว่าทั้งคู่ตาบอดสนิท...
แวบแรกที่เธอหันมาพูดกับเขา เขารู้สึกตกใจนิดหน่อยเมื่อได้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บนใบหน้าของเธอ เหมือนแผลเป็นที่เกิดจากของมีคม มันพาดผ่านจากใต้ตาด้านซ้ายยาวลงมาผ่านริมฝีปากบนและล่างจนถึงปลายคาง รอยฝีเข็มที่เกิดจากการเย็บแผลไม่ประณีตอย่างที่ควรจะเป็น ริมฝีปากของเธอจึงเว้าแหว่งบิดเบี้ยวผิดไปจากรูปเดิมอย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับสีเนื้อบริเวณที่เป็นแผลเป็น ออกจะเข้มกว่าผิวหน้าสีเหลืองซีดของเธอ ดูเผินๆ จึงคล้ายกับมีตะขาบวางพาดอยู่บนใบหน้า ดูน่ากลัว เขาเห็นหลายคนที่อยู่ตรงป้ายรถเมล์นั้นเบือนหน้าไปทางอื่น...
น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกสนใจเรื่องราวของคนทั้งคู่มากขึ้นไปอีก ตลอดเวลาที่ทั้งสองยืนอยู่ที่ป้าย เขาจ้องมองทั้งคู่เหมือนดั่งหลงใหลในผลงานของประติมากรเอกฝีมือก้องโลก ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงในพิพิธภัณฑ์ เขาเก็บทุกๆ รายละเอียดที่ตามองเห็น ทั้งเสื้อผ้าที่ทั้งคู่สวมใส่ รองเท้า ทรงผม กิริยาอาการที่ทั้งคู่แสดงออกยามสนทนากัน น้ำเสียงที่พูดคุย เสียงหัวเราะ เขาละลาบละล้วงกระทั่งแอบตั้งใจฟังบทสนทนาที่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป การทำมาหากิน ล็อตเตอรี่ขายไม่ค่อยดีเพราะคนนิยมเล่นหวยใต้ดินมากกว่า...อะไรทำนองนั้น
เขาเริ่มหันมาสังเกตฝ่ายชายบ้าง ถ้าไม่นับตาที่บอดคู่นั้นแล้ว คิ้วเข้มหนา จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเรียวบางได้รูปและวงหน้ารูปไข่ เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วจัดว่าชายผู้นี้เป็นคนหน้าตาดีทีเดียว ร่างสูงโปร่ง ผิวก็ขาวนวลเหมือนคนจากทางเหนือ ตัดกันอย่างเห็นได้ชัดกับผิวดำคล้ำดูเกรียมแดดของฝ่ายหญิง จะว่าไปแล้วทั้งคู่ดูไม่เหมาะสมกันเอาเสียเลยในความคิดของเขา แต่ให้ตายเถอะ...พวกเขาช่างดูมีความสุขเหลือเกิน ตลอดเวลาที่คอยอยู่นั้นทั้งคู่ยืนกุมมือกันไม่ยอมห่างเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหน เขาแทบจะรู้สึกได้เลยถึงความรักจากลมหายใจที่สูดเข้าไป เหมือนดั่งมีอณูความรักล่องลอยปะปนอยู่ในอากาศบริเวณนั้น
แวบหนึ่ง...เขาคิดถึงคนรักของเขา นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่เคยเดินจูงมือเธอ พักหลังๆ นี้เราเริ่มห่างเหินกันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะเธอหรอก ก็เขาเองนั่นแหละที่พยายามตีตัวออกห่าง ทั้งที่ก็ไม่ได้มีเรื่องทะเลาะอะไรกัน…หรือเป็นเพราะคบกันมานานเกินไป เขาจึงเบื่อเธออย่างไม่มีเหตุผล เมื่อไหร่ที่มีโอกาสเขามักจะพยายามเข้าไปทำความรู้จักกับผู้หญิงคนใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่างเช่นคู่นัดของเขาในวันนี้ เธอมีอะไรบกพร่องหรือก็เปล่า เธอออกจะเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างด้วยซ้ำและที่สำคัญเธอรักเขามาก และเขาก็รักเธอเช่นกัน แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเขาจึงไม่เคยพอใจในสิ่งที่เขามีอยู่ เขากำลังจะไปเที่ยวกับผู้หญิงอื่น เขาจงใจจะนอกใจเธอ เขาโกหกเธอ...ทำไม...ทำไม...
เสียงแตรรถฉุดเขาออกจากภวังค์ อ้าว นั่นรถเมล์สายที่ชายหญิงตาบอดคู่นั้นกำลังรออยู่นี่ คันที่ขับตามหลังมาติดๆ นั่นก็สายที่เขารออยู่ เขาเดินเข้าไปสะกิดบอกเธอ เธอกล่าวขอบคุณ เขารอจนรถจอดเทียบท่าดีแล้วจึงอาสาพาทั้งคู่ไปส่งที่ประตูรถ เธอหันมาขอบคุณอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นบันไดไป เขาเดินตรงไปยังรถเมล์คันที่จอดต่ออยู่ข้างหลัง เขาก้าวขึ้นบันได แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจเดินกลับลงมา ที่ป้ายรถคนเริ่มบางตา เขาเลือกนั่งตรงเก้าอี้ตัวริมซ้ายสุด เขาคิด เขาต้องการหาคำตอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ภาพชายหญิงตาบอดคู่นั้นยังคงวนเวียนอยู่ในมโนนึกตัดสลับกันกับภาพของคนรักเขา…เสี้ยวหนึ่งในความคิด เขารู้สึกว่าเขาอยาก
จะตาบอดบ้าง…
ดวงตาซึ่งทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่สวยงามในโลก บางครั้งมันก็กลับทำให้เรามืดบอดจากบางสิ่งบางอย่างได้โดยที่เราไม่รู้สึกตัว บางครั้งดวงตากลับกลายเป็นเหมือนสิ่งที่บดบังไม่ให้เรามองเห็นสิ่งที่สวยงามอย่างแท้จริง เช่นความดีงามที่ต้องใช้ใจมองเท่านั้นจึงเห็น…อย่างที่ชายตาบอดคนนั้นมองเห็นในใจของหญิงตาบอด อย่างที่เขามองไม่เห็นในตัวคนรักของเขา…
นี่ถ้าฉันตาบอด ฉันก็คงจะไม่ตัดสินคนแค่จากเปลือกนอกจากสิ่งที่ฉันมองเห็นเท่านั้น แต่จะว่าไปมันก็ไม่ใช่ความผิดของดวงตาเสียทีเดียวหรอก มันเป็นเรื่องของความเขลา เรื่องของความเป็นคนที่ยังคงมีกิเลส ตัณหา ราคะ ซึ่งยังหลงบูชาในเปลือกอยู่มาก และดวงตาเป็นเพียงเครื่องมือของมันที่ใช้เสพในเปลือกในวัตถุ โดยนัยนี้การมีดวงตากลับเหมือนทำให้เรามืดบอด มองไม่เห็นในสิ่งซึ่งงดงามอย่างแท้จริงได้ ฉันอยากจะตาบอดก็เพื่อที่จะขจัดความมืดบอดแห่งดวงตา หากแต่เป็นไปเพื่อเปิดดวงตาที่แท้จริง ดวงตาแห่งใจ-ดวงตาแห่งปัญญา สิ่งนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้เราได้มองเห็นความงามที่แท้จริงซึ่งปราศจากการปรุงแต่งแห่งรูปลักษณ์ภายนอก วัตถุ และสิ่งอื่นๆ ที่ไม่
จีรังยั่งยืน…
ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันควรจะทำอะไร ฉันจะไปหาเธอ ไปหาคนรักของฉัน ฉันจะพาเธอไปดูหนัง เราจะเดินจูงมือกัน…
นั่นล่ะครับเรื่องราวของไอ้ต้น คุณว่ามันฟังดูเพี้ยนๆ ไหม…อืมม์ ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ เขาออกจะดูเป็นคนประหลาดๆ อยู่สักหน่อย…โอ้โห…ว้าว ! คุณเห็นไหมนั่น…นั่นไง ทางซ้ายมือ…ผู้หญิงเสื้อสีชมพูที่กำลังเดินมานั่นไง น่ารักจังเลย คุณว่าผมเข้าไปคุยกับเธอดีไหม.....วะ ! โทรศัพท์ดังอีกแล้ว ใครนะดันโทรเข้ามาตอนนี้…
“ฮัลโหล”
“ไอ้ต้นมึงอยู่ไหน ทำไมยังไม่มาอีก”
“……....”
………………………………………


ภาพประกอบจากเว็บไซด์ http://www.nationalgeographic.co.kr/contest/section_view.asp





All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak