ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

Chartvut Bunyarak, a man who fall in love with short story.

วันจันทร์, พฤศจิกายน ๑๓, ๒๕๔๙

บทกวี:นางฟ้า


ฉันอยากทำได้ดั่งเธอว่า
ที่รักของฉัน...นาตาลี
*
“การมองโลกในแง่ดี
คือความท้าทายของการมีชีวิตอยู่”
*
ดวงตาสีฟ้าดั่งบาร์บี้ของเธอ
ช่างลึกลับตราตรึงน่าค้นหายิ่งนัก
มันฉุดรั้งฉันขึ้นจากปลักตมแห่งความเศร้าหม่น
มันเย็นชา มันท้าทาย
มันบอกฉันว่าต้องทำได้!

แต่...ให้ตายเถอะเกลโบวา
ฉันไม่สามารถ!
ในเมื่อโลกแห่งความเป็นจริง
อนุญาตฉันเพียงประจัญหน้า
กับแก้วสีอำพันอย่างโดดเดี่ยว
สบตากับเด็กชายตัวน้อย
หุ่นลองเสื้อที่เหลือเพียงครึ่ง
กับใบหน้าแย้มยิ้มอยู่เสมอ
คล้ายไม่เคยอนาทรทุกข์ร้อนต่อสิ่งใด

แต่ให้ตายเถอะ...นางฟ้าของฉัน
ฉันไม่สามารถ!
ในเมื่อหัวสมองของฉัน
ครุ่นคิดอยู่แต่เพียงศพของเมื่อวันก่อน
ที่ตึกเวิลด์เทรด ที่เวสต์แบงก์
ที่กรือเซะ ที่ปะนาเระบ้านฉัน
กับที่ไหนไหนในอนาคต
ที่ฉันยังคงไม่รู้
และฉันไม่สามารถ!
...จักทำสิ่งใดแม้เพียงน้อยนิด

ฉันจึงจ่อมจมอยู่ในวังวนแห่งความเศร้า
ได้แต่จ่อมจมอยู่ในวังวนแห่งความเศร้า
กับแก้วสีอำพันตรงหน้า
กับยิ้มจืดชืดของหนุ่มน้อยคนนั้น
กับรอยยิ้มของฉันบนคราบน้ำตา

โอ...ที่รัก
“Everything so fucking damn…
BullShit! BullShit! BullShit!”
แต่ฉันยังคงอยากทำได้ดั่งเธอ
คิดได้ดั่งเธอ...ที่รักของฉัน
นาตาลี เกลโบวา
นางฟ้า...เจ้าของดวงตาเย็นชาคู่นั้น.

.............................

* นาตาลี เกลโบวา เป็นนางงามจักรวาลประจำปี 2005 (ชาวแคนาดา)
* คำพูดจากภาพยนตร์โฆษณา มาม่า ที่นาตาลี เกลโบวา นางงามจักรวาลปี 2005 ร่วมแสดง ออกอากาศช่วงปลายปี พ.ศ. 2548
ภาพประกอบจากเว็บไซต์:http://bkkonline.com/pr/popup.aspx?cid=5&contentid=1929

All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

เรื่องสั้น:วันพิพากษา


บทเกริ่นนำ...ในปีพ.ศ.2600 เป็นเวลาครบรอบ 40 ปีที่ประเทศไทย(Thailand) ได้เปลี่ยนชื่อประเทศใหม่เป็นประเทศ “ไทยริกา”(Thairicaland) ภายหลังจากที่ตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจให้กับสหรัฐอเมริกาอย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21...เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ อันเป็นผลมาจากนโยบายการบริหารประเทศที่ผิดพลาดของรัฐบาลในยุคสมัยนั้น(รัฐบาลพานทองแดง 1) จักรวรรดิอเมริกาได้เข้ามาแทรกแซงการบริหารงานภายในของแทบทุกประเทศ ในทั่วทุกภูมิภาคที่ตกเป็นเมืองขึ้นอย่างลับๆ ของตน มีการจัดตั้งรัฐบาลโลกขึ้นภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้เป็นฉากบังหน้าในการปกครองทุกๆ ส่วนของโลก มีการปล้นเอาทรัพยากรซึ่งๆ หน้าจากหลายๆ ประเทศภายใต้หน้ากากแห่งกฎหมายการค้าเสรี และยังมีการยุยงส่งเสริมให้มีการทำสงครามระหว่างเชื้อชาติ ศาสนาในส่วนต่างๆ ของโลก ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดจำนวนประชากรโลกในทางอ้อม อีกทั้งสหรัฐอเมริกายังสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการค้าอาวุธสงครามในการนี้อีกด้วย... ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในชิ้นเหยื่ออันโอชะ... ภายหลังจากที่สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยได้คุกรุ่นเรื้อรังต่อเนื่องมายาวนาน ประกอบกับการยุยงส่งเสริมของประเทศมหาอำนาจ ในที่สุดความขัดแย้งก็เดินทางมาถึงขีดสุด... ต้นปีพ.ศ.2560 ดินแดนขวานทองอันมีประวัติศาสตร์สืบเนื่องมาช้านาน ก็ถึงกาลต้องแตกหักออกเป็นสองส่วน ! ดินแดนส่วนด้ามขวานตั้งแต่ภาคใต้ตอนกลางเป็นต้นไป ถูกแบ่งแยกออกเป็นประเทศใหม่ภายใต้ชื่อ “สาธารณรัฐอิสลามปัตธิลานี” ส่วนดินแดนที่เหลือที่เคยเป็นสยามประเทศเดิมได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ไทยริกา”.....และความขัดแย้งรุนแรงยังคงดำเนินมาต่อเนื่องถึงในปัจจุบัน...

"วันพิพากษา"

-พวกเขา-

มันเป็นสถานที่ที่ผมไม่รู้ว่าคือที่ไหน แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยแบบแปลกๆ เหมือนกับว่าผมจะเคยมาที่นี่มาก่อน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก แสงสว่างสีขาวเจิดจ้ากับเครื่องไม้เครื่องมือหน้าตาแปลกๆ นั่น มันดูคล้ายกับอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์อะไรสักอย่าง แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมในประสบการณ์การทำงานกว่าสิบปี ผมถึงไม่เคยเห็นเครื่องไม้เครื่องมือรูปร่างหน้าตาอย่างนี้... รึว่านี่ผมกำลังฝันไปอีก ฝันแบบเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ ฝันว่าถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป ผมรู้สึกล่องลอยคล้ายตกอยู่ใต้อำนาจของอะไรบางอย่าง รู้สึกน้ำหนักตัวเบากว่าที่มันควรจะเป็น เหมือนแรงดึงดูดถูกปรับเปลี่ยน...หรือว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของวิสกี้กับยากล่อมประสาท 2-3 เม็ดนั่นกันแน่…ผมคงกำลังฝันไป แต่นั่น ! นั่นพวกเขาสองคนกำลังนอนอยู่บนวัตถุบางอย่างที่มีรูปทรงคล้ายเตียงแต่ทำจากวัสดุโปร่งแสง ในมือของทั้งคู่ยังคงกำด้ามปืน มันเป็นปืนเลเซอร์อัตโนมัติแบบยิงเร็ว จากเครื่องแบบคนทั้งโลกคงบอกได้ในทันทีว่าพวกเขาเป็นใคร ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ดี ไม่ต้องพูดถึง...ว่าผมเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยที่รัฐบาลโลกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อศึกษาหาทางออกของปัญหาการก่อสงครามระหว่างเชื้อชาติ ที่ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี มันเป็นสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ยังคงดำรงอยู่ในทั่วทุกมุมโลก ต่างฝ่ายต่างต้องการที่จะทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่งให้สิ้นซาก เหตุผลมากมายถูกปั้นแต่งขึ้นมาเป็นมูลเหตุแห่งการก่อสงคราม ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งแยกดินแดน การช่วงชิงผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่กระทั่งการเอ่ยอ้างเอาพระเจ้ามาบังหน้าเพื่อการเข่นฆ่าที่เรียกว่าสงครามอันศักดิ์สิทธิ์… หนึ่งในนั้นคือทหารจากกองทัพของประเทศไทยริกา อีกหนึ่งคือมือระเบิดพลีชีพจากกองกำลังของสาธารณรัฐอิสลามปัตธิลานี แผงระเบิดชีวภาพที่ผูกติดอยู่กับแผ่นอกเขาบอกเช่นนั้น ทั้งคู่คือตัวแทนของสองรัฐชาติที่มีเขตแดนอยู่ติดกัน แต่กลับก่อสงครามทำลายล้างเข่นฆ่ากันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน สงครามที่พรากเอาแต่ชีวิตของผู้บริสุทธิ์ สงครามที่ไม่เคยมีทีท่าว่าจะจบสิ้น ผมไม่แน่ใจว่าทั้งคู่ยังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า มีสายมากมายห้อยระโยงระยางอยู่ล้อมรอบตัวพวกเขาโดยเฉพาะตรงส่วนหัว ผมเห็นกะโหลกศีรษะของพวกเขาถูกเปิดออก ก้อนมันสมองแดงหราเด่นอยู่ท่ามกลางแสงไฟสีขาวเจิดจ้า ในสำนึกสุดท้ายผมเห็นมันยังเต้นตุบๆ ขึ้นลงตามจังหวะหายใจ.


-พวกมัน-
เมื่อ 6-7 เดือนก่อนก็เคยมีเหตุการณ์คล้ายๆ อย่างนี้เกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง… มันเป็นเช้าตรู่ของวันเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ กองร้อยของพวกเราอันประกอบด้วยหน่วยเดลต้าเคลื่อนพลทางภาคพื้นดิน มีรถถังสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ยานยนต์หุ้มเกราะพร้อมซุปเปอร์เลเซอร์ต่อสู้อากาศยาน กับหน่วยเรนเจอร์เคลื่อนพลทางอากาศคอยระวังหลังให้กับหน่วยเดลต้า มีกันไฟเตอร์ติดอาวุธเบาสี่ลำกับอาปาเช่ X-5 พร้อมปืนกลซุปเปอร์เลเซอร์แบบยิงเร็วอีกสี่ลำ วันนั้นพวกเราได้รับคำสั่งจากบก.หน่วยเหนือ ให้เคลื่อนกำลังพลเข้ายึดครองพื้นที่ในเขตอีสต์แบงค์ของสาธารณรัฐอิสลามปัตธิลานี ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบโต้ที่กองกำลังปัตธิลานี
ส่งมือระเบิดพลีชีพเข้ามาก่อวินาศกรรมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อสัปดาห์ก่อน ส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์รวมถึงผู้หญิงและเด็กต้องสังเวยชีวิตไปกว่า 800 ศพ... ขณะที่พวกเรากำลังเคลื่อนทัพเข้าสู่เขตอีสต์แบงค์นั้นเอง ปรากฏว่ากองกำลังปัตธิลานีที่แอบซุ่มอยู่ได้เริ่มเปิดฉากโจมตีจนพวกเราต้องถอยร่นเข้าหาที่กำบัง ยังคงมีการยิงตอบโต้กันอยู่ต่อมาอีกราวครึ่งชั่วโมง แต่ด้วยเหตุผลทางการทหารเราได้รับคำสั่งให้ถอนกำลัง พวกเราจึงถอยทัพกลับสู่กองบัญชาการ เมื่อถึงฐานมีการตรวจสอบความเสียหาย พบว่ามีทหารได้รับบาดเจ็บ 7-8 นาย รถถังกับฮัมวี่หุ้มเกราะได้รับความเสียหายเล็กน้อย แต่ที่สำคัญคือมีทหารห้านายหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ! ทหารที่อยู่ในหมวดเดียวกันยืนยันว่าทั้งห้าคนไม่ได้เสียชีวิตในการรบ ไม่แม้แต่ได้รับบาดเจ็บด้วยซ้ำไป ตอนที่ได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังพวกนั้นก็ยังวิ่งตามหลังมา แต่หันไปอีกทีพวกนั้นก็อันตรธานไปเสียเฉยๆ...การออกตามหาเป็นไปอย่างเร่งด่วน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววใดๆ… สามวันผ่านไป จู่ๆ พวกเขาก็มาปรากฏตัวที่กองบัญชาการ ทั้งห้าคนดูแปลกไป พวกเขาดูเซื่องซึมและมีแววตาที่เหม่อลอยเหมือนกัน คล้ายตกอยู่ใต้อำนาจของอะไรบางอย่าง ที่ศีรษะของพวกเขามีรอยคล้ายรอยเย็บโดยรอบ จากร่องรอยบอกให้รู้ว่าพวกเขาคงเพิ่งได้รับการผ่าตัดมาหมาดๆ ทหารทั้งห้านายถูกนำตัวไปสอบสวนในทันที ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ทั้งหมดก็ให้การตรงกัน พวกเขาพูดถึงแสงสว่างสีขาวเจิดจ้า เครื่องไม้เครื่องมือหน้าตาแปลกๆ พวกเขาบอกว่า “พวกมัน” เป็นมนุษย์ต่างดาว ร่างสูงราวสองเมตร ตาโตรูปวงรี ไม่มีจมูกและปาก ผิวหนังดูคล้ายโปร่งแสง พวกเขาจำไม่ได้ว่าพวกมันทำอะไรกับพวกเขาบ้าง แต่จำได้ว่าพวกมันพูดกับพวกเขาทั้งๆ ที่ไม่มีปาก พวกเขาได้ยินเสียงของพวกมันดังก้องอยู่ในหัวของตัวเอง เป็นภาษาของพวกเราด้วย พวกมันบอกว่า พวกมันเดินทางมาจากในอนาคตเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดบางอย่าง ข้อผิดพลาดที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน พวกมันต้องการให้พวกเราทุกคนช่วยให้ความร่วมมือด้วย พวกมันบอกว่าให้ยุติการทำลายล้างเข่นฆ่าและยุติความรุนแรงในทุกรูปแบบ... ทหารทั้งห้านายถูกส่งไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมืองหลวง เรื่องทั้งหมดถูกปิดเงียบเป็นความลับ…
แต่แล้วเมื่อวานนี้ เหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อหน่วยลาดตระเวนที่ถูกส่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ทั้งสี่นายเหลือกลับมาเพียงสาม ทั้งหมดยืนยันว่าขณะที่กำลังซุ่มสอดแนมอยู่ พลทหารคนนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาของพวกเขา.

-ผม-
มนุษย์คนนี้...น่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่หน่วยสำรวจชุดก่อน ได้รายงานเอาไว้เมื่อสิบปีที่แล้วตามเวลาของมนุษย์โลก ข้อมูลที่บันทึกได้จากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเขาระบุว่า เขาเป็นมนุษย์เพศชายที่มีความสามารถทางสมองสูงกว่ามนุษย์โดยทั่วไปมาก เขาสามารถผ่านกระบวนการการถ่ายโอนข้อมูลและพัฒนาขีดความสามารถทางสมองขั้นสูงสุดตามมาตร-ฐานของมนุษย์ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี เป็นชายหนุ่มที่มีอนาคตไกลทางสังคม หลังจากที่เขาจบจากสถาบันการถ่ายโอนข้อมูลของมนุษย์สาขาประเทศไทยริกาได้เพียงแปดปี เขาก็ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลโลกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าโครงการวิจัยปัญหาการก่อสงครามระหว่างเชื้อชาติ เท่ากับว่าเขาศึกษาเรื่องนี้มาได้สิบปีแล้ว เซทย้ำว่ามนุษย์คนนี้อาจเป็นประโยชน์กับการทำงานของเราในภารกิจนี้ แต่ในฐานข้อมูลระบุว่าชายคนนี้เป็นคนที่มีบุคลิกร่าเริง มนุษยสัมพันธ์ดี ชอบการเข้าสังคมเพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่น เวลาว่างชอบทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดของเหลวซึมออกมาจากผิวกาย เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อและทำให้ร่างแข็งแรง แต่จากที่เฝ้าติดตามในช่วงเดือนที่ผ่านมา ข้อมูลที่ได้ระบุว่ามีความคลาดเคลื่อนจากฐานข้อมูลเดิมอยู่มาก ลักษณะทางกายภาพภายนอกโดยรวมแล้ว ดูเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักเท่าไหร่ แต่เหมือนเขาน่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่างพฤติกรรมของเขาถึงได้เปลี่ยนแปลงไปมาก อาจจะเป็นความผิดปกติของมันสมองส่วนวิเคราะห์และประเมินผลก็เป็นได้ เขาคงได้รับความกดดันจากอะไรบางอย่างจึงกลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยสื่อสารกับมนุษย์คนอื่น ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมเหมือนอย่างที่เคย วันๆ ไม่เห็นเขาจะทำอะไร นอกจากนั่งเหม่อมองออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย กับดื่มของเหลวสีอำพันที่มีคุณสมบัติคล้ายยาฆ่าเชื้อโรค บางทีเขาก็นั่งพูดคนเดียวโดยไม่มีมนุษย์คนอื่นอยู่ด้วย เป็นรูปแบบของการสื่อสารที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนจริงๆ... บางครั้งมีของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากดวงตาของเขาในขณะที่เขากำลังหัวเราะ ! รูปแบบของการแสดงออกทางอารมณ์แบบนี้ก็ไม่เคยพบในมนุษย์คนอื่นมาก่อนเช่นกัน เขาช่างเป็นมนุษย์ที่แปลกจริงๆ ที่สามารถมีความสุขและเสียใจได้ในขณะเดียวกัน ไม่เข้าใจจริงๆ...ทำไมเซทถึงได้บอกว่ามนุษย์คนนี้อาจจะเป็นคำตอบของภารกิจในครั้งนี้ก็ได้.

-พวกเขา-พวกมัน-ผม-
มันเป็นวัตถุอะไรสักอย่างที่ลอยอยู่ในท้องฟ้า ดูเหมือนมันจะมีรูปร่างคล้ายทรงกลม พื้นผิวของมันสะท้อนแสงได้คล้ายสีปรอท ก่อให้เกิดการหักเหของเหลี่ยมมุมแสงอาทิตย์เป็นรอยระยิบระยับ มันลอยมาทางนี้แล้ว ใกล้เข้ามา…ใกล้เข้ามา…โอ มันช่างมีขนาดใหญ่โตมโหฬารเสียเหลือเกิน นั่น...ทำไมจู่ๆ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดมิดไปเสียเฉยๆ ก้อนเมฆดำมหึมาเคลื่อนตัวมาจากไหน มันปิดผืนฟ้าเสียจนมืดมิดราวค่ำคืนเดือนมืด เสียงฟ้าแลบฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วอย่างกับจะเกิดพายุฝน แล้วนั่นมันปล่อยลำแสงอะไรลงมา สว่างจ้าไปหมดในชั่วพริบตาจนมองอะไรไม่เห็น พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวบ้าคลั่ง สิ่งก่อสร้างที่เห็นตรงเบื้องหน้าทรุดตัวลงมาราวละรอกคลื่น แสงสีแดง !…ร้อนเหลือเกิน...โอ...ไม่นะ !
......แฮ่ก…แฮ่ก…แฮ่ก นี่เราฝันไปหรือนี่ ช่างเป็นฝันที่น่ากลัวเหลือเกิน ทำไมสว่างจัง ที่นี่ที่ไหนกันนะ แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน แล้วเราหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้ว่ากำลังเมา ยืนอยู่หน้าร้านเหล้า จะขึ้นรถกลับบ้าน เห็นอะไรกลมๆ ลอยอยู่บนฟ้ามีลำแสงส่องลงมา สว่างจ้าจนแสบตาไปหมด…ทหาร…เปิดกะโหลก…สมอง…เฮ้ย ! รึว่า…รึว่าเราถูกเอเลี่ยนลักพาตัว...
--- จะว่าใช่ก็ใช่นะ แต่ไม่อยากให้ใช้คำนั้นเลย ถ้าเราเป็นเอเลี่ยนสำหรับคุณ พวกคุณก็เป็นเอเลี่ยนสำหรับเราเช่นกันน่ะแหละ เอาเป็นว่าพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตอีกสายพันธุ์หนึ่งในระบบสุริยจักรวาลนี้เช่นเดียวกับคุณ เราเดินทางมาจากอนาคตในอีกสองพันปีข้างหน้าเพื่อทำภารกิจบางอย่าง อ้อ... เราไม่ได้มีเจตนาจะลักพาตัวคุณหรอกนะ เราเพียงแค่อยากให้คุณช่วยอะไรบางอย่างเท่านั้น --- เฮ้ย ! นี่มันอะไรกันวะ มีเสียงไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ก้องอยู่ในหัว รึว่านี่เราเมาจนเพี้ยนไปแล้ว --- ใจเย็นๆ คุณชาติ เราเห็นด้วยที่ว่าคุณออกจะเพี้ยนๆ แต่ว่าตอนนี้คุณไม่ได้กำลังเมาหรือฝันไปหรอก ทั้งหมดนี่คือเรื่องจริง --- เฮ้ย ! มันรู้จักชื่อกูด้วย เป็นไปได้ยังไงวะ กูต้องฝันอยู่แน่ๆ --- สุภาพหน่อยสิคุณชาติ ฐานข้อมูลของเราระบุว่า คำว่ากูเป็นสรรพนามที่ไม่สุภาพ แสดงถึงการไม่ให้เกียรติบุคคลที่สนทนาด้วยไม่ใช่หรือ --- พวกแกเป็นใคร ออกไปจากหัวฉันเดี๋ยวนี้นะ ! --- ใจเย็นๆ สิคุณชาติ บอกแล้วไงให้ใจเย็นๆ เราไม่ได้อยู่ในหัวของคุณหรอก เสียงที่คุณได้ยินอยู่นี้เป็นรูปแบบหนึ่งของการติดต่อสื่อสารที่พวกเราใช้กัน สำหรับพวกคุณรู้สึกจะเรียกว่าโทรจิตนะ เอาล่ะใจเย็นๆ ค่อยๆ หันมาทางนี้สิ ---
ในห้องโถงสีขาวขนาดใหญ่ มองไปด้านบนไร้เพดานกั้น เห็นแต่เพียงทิวทัศน์ด้านนอกเป็นเวิ้งฟ้าประดับประดาไปด้วยหมู่ดาวยามค่ำคืน ที่มุมซ้ายมีวัตถุรูปทรงคล้ายเตียงทำจากวัสดุโปร่งแสงวางอยู่คู่หนึ่ง ทหารสองคนนอนอยู่บนนั้น มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด กะโหลกศีรษะของทั้งคู่ถูกเปิดออก เห็นมันสมองแดงหราอยู่ท่ามกลางแสงไฟจ้า ตรงกลางห้องมีวัตถุสีเงินมันวาวคล้ายเก้าอี้ทำฟันวางอยู่ ชาตินั่งอยู่บนสิ่งนั้น ด้านหลังของเก้าอี้มีคนหรืออะไรบางอย่างที่ดูเหมือนคนยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง เก้าอี้ของชาติค่อยๆ หมุนทวนเข็มนาฬิกาไปหาคนหรืออะไรที่ดูเหมือนคนกลุ่มนั้น
“เฮ้ย !……” พระเจ้า ! นี่มันอะไรกันวะ นั่นแบรด พิทท์.....เคิร์ท โคเบนตายห่าไปแล้วนี่หว่า.....กวินเน็ต พัลโทรว์...วิโนน่า ไรเดอร์....แอนโทนี่ ฮอพกินส์ในชุดนักโทษจากเรื่อง Silence of the Lamb.....เทรซี่ ลอร์ดสุดยอดดาราหนังโป๊คนดังที่เราชอบดูตอนวัยรุ่น เฮ้ย ! นั่นน้องแจนแฟนเก่ากูตอนปีสี่.....ยูทาดะ ฮิคารุสุดยอดนักร้องเจ-ป๊อปที่กำลังดังเป็นพลุ นั่นเคียวโกะ ฟูกาดะขวัญใจเรา
“ใจเย็นๆ ก่อนคุณชาติ ที่คุณเห็นอยู่นี่เป็นภาพโฮโลแกรมที่เราสร้างขึ้นตามข้อมูลที่บันทึกอยู่ในสมองส่วนความทรงจำของคุณเท่านั้น ไม่ต้องตกใจไป” แบรด พิทท์ ไม่ใช่สิ...คนที่หน้าเหมือนแบรด พิทท์พูดขึ้น
“พวกเราเห็นว่าวิธีนี้ น่าจะดีกว่าการให้คุณเห็นร่างที่แท้ของเรา รวมถึงการไม่ใช้โทรจิตด้วยน่าจะทำให้การสื่อสารระหว่างเราเป็นไปได้ง่ายขึ้น” คนที่หน้าเหมือนวิโนน่า ไรเดอร์พูดขึ้นบ้าง ผมเอามือคลำดูรอบๆ หัว กลัวว่าตัวเองจะโดนผ่ากะโหลกเหมือนสองคนนั่น
“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณชาติ เราไม่ได้ทำอะไรกับร่างของคุณหรอก เพียงแค่ใช้เครื่องมือบางอย่างอ่านค่าในหัวสมองของคุณเท่านั้นเอง” ยูทาดะ ฮิคารุกล่าวเสียงหวาน
“ที่นี่คือที่ไหนกัน” ผมถามเสียงสั่น
“คุณกำลังอยู่บนยานแอ็กโนสติค X-22 ซึ่งเป็นยานของกองกำลังพิทักษ์จักรวาล ขณะนี้เรากำลังโคจรอยู่รอบดาวโลกของคุณ” คนที่เหมือนน้องแจนตอบ ทำเอาผมหวั่นไหวเหมือนกัน เขา...หรือเธอ...หรือมัน...อะไรก็ช่างเถอะ ช่างเหมือนน้องแจนจริงๆ ผมเงยหน้ามองขึ้นด้านบน รู้สึกเหมือนว่าเพิ่งเห็นดาวเทียมไทยคม 21 ลอยผ่านไปทางขวาเมื่อกี๊นี้
“ท่าทางคุณดูยังจะไม่ชินกับสภาพแวดล้อม ถ้างั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า…แล้นซ์ช่วยหน่อย” เคิร์ท โคเบนพูดพลางหันหน้าไปทางเคียวโกะ ฟูกาดะ เธอก้มหน้าลงจิ้มเครื่องมืออะไรบางอย่างที่สวมอยู่บนข้อมือซ้ายเหมือนนาฬิกา ทันใดนั้นห้องโถงสีขาวก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นห้องวีไอพีของโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง ที่ผมเคยไปใช้บริการอยู่เป็นประจำเมื่อหลายปีก่อน มันช่างเหมือนจริงๆ ในทุกรายละเอียด กระจกเงาติดรอบด้านรวมทั้งบนเพดานด้วย เตียงน้ำติดตั้งระบบไฮดรอลิก มีสวิตช์อยู่ที่หัวเตียงสองปุ่ม อันหนึ่งมีไว้สำหรับหมุนรอบทิศทาง อีกอันมีไว้สำหรับ…เขย่า พร้อมผ้าปูเตียงสีแดงสดกระตุ้นอารมณ์กระสัน ผมยังจำได้ดี ผมเอื้อมมือกดลงไปบนเตียงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“โอ…พระแม่เจ้าโว้ย !” ผมเผลออุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะเตียงมันเด้งตอบสนองนิ้วผมได้เหมือนมีน้ำอยู่ข้างใต้จริงๆ ทั้งๆ ที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้
“ไม่ชอบเหรอคะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนให้” ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากตอบอะไร แม่เคียวโกะก็ก้มหน้าก้มตาจิ้มเครื่องมือนั่นอีกครั้ง คราวนี้ทิวทัศน์โดยรอบเปลี่ยนมาเป็นห้องนั่งเล่นที่บ้านผมเอง ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ใช่ของจริง แต่บรรยากาศแบบที่บ้านก็ช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก มองไปทางเค้าน์ทเตอร์เหล้าขวามือให้นึกสงสัยว่า ถ้ายกขวดแสงโสมเทจะมีเหล้าไหลออกมาจริงๆ หรือเปล่า
“คราวนี้คงถูกใจนะคะ” คนที่หน้าเหมือนเคียวโกะ สาวยุ่นนางในฝันของผมกล่าวเสียงหวานพลางส่งยิ้มให้ ถ้านี่คือความฝันล่ะก็ผมจะไม่ขอตื่นอีกเลยจริงๆ
“เอาล่ะคุณชาติ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมว่าเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อน ผมชื่อเฟ้าสต์ เป็นรองผู้บังคับการยานแอ็กโนสติค X-22 ลำที่คุณกำลังยืนอยู่นี้ ยินดีที่ได้รู้จัก” แบรด พิทท์กล่าวพร้อมส่งยิ้มทักทายและยื่นมือมาให้ผมจับ ให้ตายสิเขาสวมบทบาทได้เหมือนคาแรคเตอร์ของแบรด พิทท์ในเรื่อง Legend of the Fall จริงๆ
“ส…สวัสดี…ครับ” ผมเอื้อมมือไปสัมผัสกับเขาด้วยความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ แต่ออกจะไปทางกลัวเสียมากกว่า
“ส่วนที่ยืนอยู่ตรงกลางนั่นคือกัปตันพิคาร์ด ผู้บังคับการยานลำนี้” เขาหมายถึงคนที่หน้าเหมือนแอนโทนี่ ฮอพกินส์ที่อยู่ในชุดนักโทษสีส้มพร้อมหน้ากากป้องกันการกัดนั่น ผมจำได้แม่น มันอยู่ในหนังเรื่อง Silence of the Lamb
“ยินดีที่ได้พบคุณ คุณชาติ”
“ย…ยินดีเช่นกัน…ครับ”
“ทำไมคุณถึงมองผมแปลกๆ อย่างนั้นล่ะคุณชาติ ภาพโฮโลแกรมมีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ” กัปตันพิคาร์ดเอ่ยถาม ผมว่าชื่อเขาคุ้นๆ นะเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
“เอ่อ…ผมว่าชุดที่ท่านใส่อยู่มันดูเว่อร์ๆ ไปนะครับ” ผมตอบไปตามจริง
“อ้าวงั้นเหรอ…แล้นซ์ช่วยหน่อย” กัปตันหันไปพูดกับแม่เคียวโกะนั่น เธอก้มลงกดปุ่มสองสามครั้ง ทันใดนั้นชุดนักโทษสีส้มก็กลายเป็นชุดลำลองสีขาวสบายตาที่แอนโทนี่ ฮอพกินส์ใส่ตอนแสดงเรื่อง Surviving Picasso สีผมของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย
“เป็นยังไงบ้าง อย่างนี้ใช้ได้ไหม” กัปตันเอ่ยถาม
“ครับ…ใช้ได้ดีทีเดียว” ผมยิ้มตอบด้วยความทึ่งในเทคโนโลยีของพวกเขา
“เอาล่ะคุณชาติ คราวนี้ผมจะเริ่มอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้คุณฟังล่ะนะ รวมทั้งเหตุผลที่เรานำตัวคุณมาที่นี่ด้วย อย่างที่คุณได้รู้ไปแล้วผมชื่อกัปตันพิคาร์ดเป็นผู้บังคับการยานแอ็กโนสติคลำนี้ ยานแอ็กโนสติค X-22 เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังพิทักษ์จักรวาล ที่ขึ้นตรงต่อการบังคับบัญชาของสภาพิทักษ์จักรวาล ก็คงคล้ายๆ กับตำรวจหรือทหารบนดาวของคุณนั่นแหละ พวกเราก็มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยเช่นเดียวกัน ต่างกันตรงที่พวกเรารักษาความสงบเรียบร้อยของจักรวาลเท่านั้นเอง… เป็นไงบ้าง คุณยังตามทันใช่ไหมคุณชาติ ผมเชื่อว่าด้วยความเป็นนักวิทยาศาสตร์ คุณคงเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ได้ไม่ยาก”
“ครับ ผมพอเข้าใจอยู่บ้าง ว่าแต่ไอ้สภาพิทักษ์จักรวาลอะไรนั่น….. แต่เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งบอก ผมขอเดาก่อน ผมว่าสภาพิทักษ์จักรวาลจะต้องเป็นสภาที่เกิดจากการรวมตัวกันของบรรดาผู้นำรัฐบาลที่ปกครองดวงดาวต่างๆ ในกาแล็คซี่ทางช้างเผือกเป็นแน่ แล้วทั้งหมดก็คงมารวมตัวกันเพื่อหาแนวทางร่วมกัน ในการกำหนดนโยบายที่จะช่วยให้จักรวาลสามารถธำรงค์ไว้ซึ่งความสงบสุขเรียบร้อย และสภายังมีหน้าที่คอยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างดวงดาว รวมถึงคอยกำกับดูแลการทำสนธิสัญญาระหว่างดวงดาวในเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การค้า การแลกเปลี่ยนต่างๆ ให้เป็นไปด้วยความโปร่งใสยุติธรรมใช่ไหมครับ (ถึงตอนนี้พวกที่เหลืออยู่ด้านหลัง เริ่มจับกลุ่มคุยกัน คนที่หน้าเหมือนเทรซี่ ลอร์ด แอบส่งตาหวานให้กับผม)….เดี๋ยวๆ อีกนิดนึง ผมมั่นใจว่าในสภาของพวกท่านจะต้องมีการฮั้วกันด้วย ใช่ไหมครับ”
“ฮั้วกัน ? คุณหมายความว่ายังไง” กัปตันพิคาร์ดเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง
“ฮั้วกันก็หมายถึงการคอร์รัปชั่น การขี้โกงไงครับท่าน”
“โอ…สุดยอด อัจฉริยะ” คนที่หน้าเหมือนยูทาดะ ฮิคารุ อุทานขึ้นมาแทรกบทสนทนาระหว่างผมและกัปตัน กัปตันพิคาร์ดหันไปทำตาเขียวใส่เธอก่อนหันมาพูดกับผมต่อด้วยสีหน้าเจื่อนๆ เล็กน้อย
“เก่ง...คุณเก่งจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณรู้ได้ยังไง ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมกัปตันเซทถึงบอกว่า คุณอาจจะเป็นคำตอบของภารกิจในครั้งนี้ แต่ผมสงสัยจริงๆ คุณชาติ คุณช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่าคุณรู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกสองพันปีข้างหน้าได้ยังไง”
“ผมเอามาจากในหนังครับ” ผมตอบไปตามจริง
“อะไรนะ” กัปตันพิคาร์ดยิ่งงงเข้าไปใหญ่
“ผมเอามาจากในหนังเรื่อง Star Wars:Episode I ของจอร์จ ลูคัส ยังไงล่ะครับ”
“Episode I…ลูคัส อะไรกัน” เขายังคงงงอยู่
“ผมว่าเราข้ามเรื่อง Star Wars ไปเถอะครับ กัปตันพูดต่อดีกว่าผมกำลังอยากฟัง เมื่อกี๊กัปตันพูดค้างถึงตรงที่ว่ายานของคุณเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังพิทักษ์จักรวาลที่คอยรับคำสั่งจากสภาพิทักษ์จักรวาล” ผมพูดตัดบทเพื่อปัดรำคาญไปอย่างนั้น เพราะขี้เกียจเล่าเรื่อง Episode I ดูท่าทางกัปตันพิคาร์ดยังไม่หายสงสัย แต่เขาก็ยอมพูดต่อแต่โดยดี
“เอ่อ...คือว่าพวกเราได้รับคำสั่งซึ่งเป็นมติของสภาพิทักษ์จักรวาล ให้เดินทางย้อนอดีตกลับมาสองพันปีเพื่อปฏิบัติภารกิจบางอย่าง…ที่มีความสำคัญมาก”
“ย้อนอดีต” ผมรำพึงกับตัวเองเบาๆ
“อืมม์...ใช่ ผมต้องขอโทษด้วย ลืมไปว่าเทคโนโลยีของพวกคุณในขณะนี้ยังวิวัฒนาการไปไม่ถึงขั้นนั้น เอาเป็นว่าในอนาคตอีกสองพันปีข้างหน้า การเดินทางข้ามเวลาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ก็แล้วกัน”
“แล้วภารกิจที่ว่าสำคัญมากนั่นมันอะไรกันครับ”
“กอบกู้จักรวาล”
“ฮ้า !…กัปตันว่าอะไรนะครับ”
“ใช่แล้วล่ะคุณชาติ คุณได้ยินไม่ผิดหรอก พวกเราเดินทางย้อนเวลากลับมาในปีพ.ศ.2600 เพื่อปฏิบัติภารกิจในการกอบกู้จักรวาล”
“……………” สิ่งที่กัปตันพิคาร์ดพูดทำเอาผมถึงกับอึ้ง จำไม่ได้เหมือนกันว่าวันนี้ผมอึ้งเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้นะคุณชาติ เอ่อ...ผมจะเริ่มตรงไหนดีล่ะ คือว่าสายพันธุ์มนุษย์ของพวกคุณน่ะ ไม่ได้สูญพันธุ์ไปอย่างที่พวกคุณกำลังกลัวกันอยู่หรอกนะ ผมพอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าตอนนี้พวกคุณกำลังกังวลอยู่กับอะไร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาดาวหางหรืออุกกาบาตยักษ์พุ่งชนดาวเคราะห์ของพวกคุณ ปัญหาน้ำท่วมโลกเพราะน้ำแข็งจากขั้วโลกละลาย อันเป็นผลจากการที่อุณหภูมิในโลกสูงขึ้นซึ่งก็มาจากน้ำมือของพวกคุณเอง ผมว่าคุณก็คงรู้ดีอยู่แล้ว ปฏิกิริยาเรือนกระจกหรือแม้กระทั่งปัญหาสงครามนิวเคลียร์ ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร…..เป็นเรื่องน่าเศร้า แต่มันก็เป็นความจริงที่ผมจำต้องบอกคุณว่า เผ่าพันธุ์ของพวกคุณจะผ่านพ้นปัญหาเหล่านี้ไปได้ทั้งหมด”
“ทำไมกัปตันถึงบอกว่าน่าเศร้าล่ะครับ”
“ทำไมน่ะเหรอ… ก็เพราะว่าในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่เผ่าพันธุ์ของพวกคุณจะไม่สูญสิ้นไปเท่านั้น หากแต่ยังสืบทอดเผ่าพันธุ์นรก…โอ ไม่ๆ ผมขอโทษทีที่หลุดปากไป… หากแต่พวกคุณยังคงสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไปจนถึงในอนาคตอีกสองพันปีข้างหน้า และจากที่ที่ผมจากมา…ไม่อยากจะบอกให้พวกคุณหลงตัวเองเลย…แต่ความจริงก็คือ จากที่ที่ผมจากมา...ณ วันนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกคุณเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงที่สุดในจักรวาล……หากเพียงแต่ว่า” กัปตันพิคาร์ดชะงักไป
“หากเพียงแต่ว่าอะไรครับกัปตัน”
“หากเพียงแต่ว่ามันสวนทางกันอย่างสิ้นเชิงกับคุณค่าทางศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมในจิตใจของพวกคุณ ขณะที่ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุของพวกคุณกำลังพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง คุณค่าทางศีลธรรมในจิตใจของพวกคุณกลับตกต่ำลงจนกู่ไม่กลับ”
“ฮะ ฮะ ฮะ…ห้า ห้า ห้า…เอิ๊ก เอิ๊ก” ผมระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
“ทำไมคุณถึงหัวเราะล่ะคุณชาติ ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องน่าขำที่ตรงไหน”
“ก็สิ่งที่กัปตันพูดยังไงล่ะครับ…..ไม่ต้องรอไปอีกสองพันปีหรอก ทุกวันนี้จิตใจมนุษย์มันก็ต่ำช้าสามานย์จนยากที่จะเยียวยาอยู่แล้ว… จากที่ที่กัปตันจากมา กัปตันเคยได้ยินเรื่องพ่อข่มขืนลูกในไส้ แม่ส่งลูกไปขายตัวเยี่ยงทาสในซ่องนรก หรือกัปตันเคยเห็นเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กระจัดกระจายเพราะแรงระเบิดไหมล่ะครับ… หรือกัปตันเคยเห็นผู้บริสุทธิ์ต้องค่อยๆ ตายไปอย่างทุกข์ทรมานต่อหน้าต่อตาเพราะฤทธิ์จากอาวุธชีวภาพไหมล่ะครับ ดาวที่กัปตันจากมาน่ะเคยมีผู้ก่อการร้ายจี้กระสวยอวกาศแล้วพุ่งเข้าชนโรงเรียนอนุบาลไหมล่ะครับ….ลองมาเที่ยวที่ดาวของผมดูสิครับ กัปตันจะได้เห็นทุกอย่างอย่างที่ผมพูด” รู้สึกคอแห้ง ผมจึงเดินไปที่เค้าท์เตอร์ด้วยความเคยชิน คว้าขวดแสงโสม Super X ยกกรอกใส่ปาก แต่ไม่มีเหล้าไหลลงมาสักหยด
“ผมว่าคุณคงกำลังต้องการสิ่งนี้” คนที่หน้าเหมือนเคิร์ท โคเบนกล่าวพลางส่งแสงโสม Super X ขวดใหม่ให้ ผมพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณแล้วยกเหล้ากรอกปาก ค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง
“ผมคิดว่าผมเริ่มเข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมคุณถึงได้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ เอาล่ะแต่อย่างน้อยคุณคงพอเข้าใจแล้วว่า ทำไมพวกเราถึงได้เดินทางย้อนอดีตมาสู่จุดนี้ เพราะว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด” กัปตันพิคาร์ดกล่าวสีหน้าเรียบผ่านเปลือกของแอนโทนี่ ฮอพกินส์
“ผมบอกไปแล้วว่าในอีกสองพันปีข้างหน้า เผ่าพันธุ์มนุษย์จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุด แต่มันยังไม่หมดแค่นั้น..ในปีพ.ศ.4600 ตามเวลาของมนุษย์โลก กองกำลังของพวกคุณได้เข้าร่วมกับฝ่ายกบฏที่นำโดย ดาร์ท โมล…”
“ใครนะครับ” ผมเอ่ยถามเพราะไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือเปล่า
“ดาร์ท โมล”
“ฮะ ฮะ ฮะ…ห้า ห้า ห้า…เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก” ผมระเบิดหัวเราะลงลูกคออีกครั้ง นั่นมันชื่อตัวละครจากเรื่อง Star Wars:Episode I ชัดๆ
“มีอะไรน่าขำนักหรือไงคุณชาติ”
“……………..” ผมยิ้มแล้วสั่นหน้าแทนคำตอบ ยกเหล้ากรอกปากอีกอึกหนึ่ง เขาจึงพูดต่อ
“พวกคุณ…เอ่อ พวกมนุษย์ในอีกสองพันปีข้างหน้าเข้าร่วมกับดาร์ท โมล ก่อการกบฏล้มล้างอำนาจของสภาพิทักษ์จักรวาล สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทั้งจักรวาล และจากการเดินทางไปในอนาคตทำให้เราได้รู้ว่าอีกสองปีถัดมา คือในปีพ.ศ. 4602 สภาพิทักษ์จักรวาลก็ล่มสลายไป ผู้นำรัฐบาลของดาวทุกดวงถูกลูกหลานของคุณจับไปฆ่าทิ้งอย่างโหดเหี้ยมทารุณ ทั่วทั้งระบบสุริยจักรวาลตกอยู่ใต้อำนาจของผู้นำรัฐบาลโลกแต่เพียงผู้เดียว เพราะหลังจากที่การก่อกบฏเสร็จสิ้นลงแล้ว ลูกหลานของพวกคุณก็หักหลังดาร์ทโมล โดยฆ่าเขาทิ้งแล้วใช้อำนาจที่มีมากกว่าจากกำลังพลและอาวุธที่ทันสมัยเข้ายึดครองอาณาจักรของเขา ความเดือดร้อนแผ่ไปทั่วทุกขอบจักรวาล ดาวทุกดวงถูกรุกรานจากสายพันธุ์มนุษย์ของพวกคุณ ทั้งการปล้นแย่งชิงเอาทรัพยากรซึ่งๆ หน้า ระบบการค้าทาสถูกพวกคุณนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง และที่แย่ที่สุดก็คือ พวกคุณยังเปิดซ่องเสรีระหว่างดวงดาว บังคับให้สิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ที่เป็นเพศหญิงต้องขายตัว เพื่อปรนเปรอกามตัณหาอันไร้ขอบเขตสิ้นสุดของพวกคุณอีกด้วย”
“ก๊าก ก๊าก ก๊าก…ห้า ห้า ห้า… แม่งโคตรน้ำเน่าเลยว่ะ อย่างกับละครทีวีแน่ะ” ผมจำต้องหัวเราะอีก ถึงจะรู้ว่าไม่สุภาพในสถานการณ์นี้ แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ แสงโสมที่พร่องไปครึ่งกลมคงเริ่มออกฤทธิ์ รู้สึกตัวว่าเริ่มจะเหลียวมองร่องอกแม่เคียวโกะนั่นบ่อยครั้งขึ้น
“คุณชาติ โปรดให้ความสนใจกับสิ่งที่ผมกำลังพูดหน่อยนะครับ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะหากแต่มันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพวกคุณโดยตรงทีเดียว” กัปตันพิคาร์ดกล่าวสีหน้าจริงจัง
“ขอโทษครับๆ” ผมยกเหล้าจิบแก้เขิน
“โชคยังดีอยู่บ้างตรงที่พวกเราสามารถเดินทางข้ามเวลาได้ ทำให้ล่วงรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคตและยังพอมีหนทางกลับมาแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีตได้…”
“ขอโทษครับกัปตัน ผมสงสัยอยู่นิดนึงตรงที่ว่าในเมื่อพวกคุณสามารถเดินทางย้อนอดีตมาแก้ไขได้ พวกคุณไม่กลัวหรือว่า เอ่อ…ลูกหลานของผมในอนาคตก็จะทำอย่างนั้นเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาอาจกำลังเตรียมตัวมาถล่มพวกคุณแล้วก็เป็นได้”
“อืมม์ คุณฉลาดมาก ผมขอบคุณที่คุณเป็นห่วง แต่อันนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราจัดการเถอะ คุณทำในสิ่งที่คุณต้องทำดีกว่า ผมขอสรุปเลยแล้วกัน จากที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้สภาพิทักษ์จักรวาลจึงมีคำสั่งให้พวกเราเดินทางย้อนอดีตมาเพื่อปฏิบัติภารกิจในการกอบกู้จักรวาล โดยทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งไม่ให้การกบฏในปีพ.ศ.4600 เกิดขึ้น กองกำลังของพวกเราแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมหนึ่งย้อนอดีตไปยังดาวเดเมียนที่บรรพบุรุษของดาร์ท โมลอาศัยอยู่ อีกทีมก็คือพวกเราย้อนอดีตมายังดาวโลกของพวกคุณ สภาพิทักษ์จักรวาลต้องการให้เราแก้ไขความผิดพลาดบางอย่างในจิตใจมนุษย์ ภารกิจของพวกเราคือทำอย่างไรก็ได้ที่จะกำจัดความก้าวร้าวรุนแรงและความเห็นแก่ตัวออกไปจากจิตใจของมนุษย์ทุกคน เงื่อนไขก็คือถ้าเราไม่สามารถทำได้ พวกเราจำเป็นที่จะต้องทำลายดาวของคุณทิ้งซะ…นั่นหมายความว่าพวกคุณทุกคนจะต้องตายและดาวของคุณจะต้องหายไปจากแผนที่จักรวาล ผมเสียใจที่ต้องแจ้งให้คุณทราบเช่นนี้ แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ ผมได้แต่หวังว่าคุณจะช่วยผมให้ไม่ต้องทำอย่างนั้น” กัปตันดูเครียดไปอย่างเห็นได้ชัด
“ก๊าก ก๊าก ก๊าก…ห้า ห้า ห้า…เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก...มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับกัปตันพิคาร์ด คุณกำลังพูดถึงสิ่งที่มันไม่มีทางเป็นไปได้… อีกอย่างผมยังไม่เข้าใจ คุณพาผมมาที่นี่ทำไม ผมจะช่วยคุณได้ยังไงในเรื่องนี้ โน่น คุณต้องไปบอกพระเจ้าโน่น” รู้สึกคอแห้งอีกแล้ว แต่แสงโสมในมือก็หมดเกลี้ยง ยังดีที่น้องแจนส่งขวดใหม่มาให้ผมพร้อมรอยยิ้ม มนุษย์ต่างดาวพวกนี้ช่างน่ารักจริงๆ...ถ้านี่คือฝันก็ขออย่าให้ผมตื่นเลย
“ผมไม่เข้าใจเลย ทำไมคุณยังหัวเราะอยู่ได้คุณชาติ คุณเข้าใจไหมว่าถ้าผมทำไม่ได้ ผมอาจจะต้องฆ่ามนุษย์ทุกคนรวมทั้งคุณด้วย… คุณเห็นทหารสองคนนั่นไหม นั่นคือกลุ่มตัวอย่างของมนุษย์ที่มีความก้าวร้าวรุนแรงที่สุดกลุ่มหนึ่ง ผมจับพวกเขามาผ่าสมองออกดูไม่รู้กี่คนแล้ว แต่ผมก็ยังคงไม่เข้าใจถึงที่มาและสาเหตุของพฤติกรรมก้าวร้าวป่าเถื่อนของพวกเขาอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องพาตัวคุณมา เพราะคุณเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยปัญหาการก่อสงครามระหว่างเชื้อชาติ ผมเชื่อว่าคุณน่าจะช่วยพวกเราได้”
“ฮะ ฮะ ฮะ…เอิ๊ก ถ้าไม่หัวเราะแล้วคุณจะให้ผมร้องไห้หรือไงกัปตัน คุณจะไม่ให้ผมหัวเราะได้ยังไง ในเมื่อสิ่งที่คุณต้องการมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย กำจัดความก้าวร้าวและความเห็นแก่ตัวออกไปจากจิตใจของมนุษย์ทุกคนอย่างนั้นหรือ ให้ผมโคลนนิ่งไดโนเสาร์ทุกสายพันธุ์ยังง่ายกว่าเป็นไหนๆ มันเหมือนกับว่าคุณขอให้ผมทำให้นักการเมืองไม่โกงกิน ไม่โกหกตอแหล ไม่คอร์รัปชั่นอย่างนั้นแหละ มันเป็นไปได้ที่ไหนกันเล่า… ใช่ ผมเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยฯ แต่ผมไม่ใช่พระเจ้านะครับกัปตัน ผมก็แค่หุ่นกระบอกตัวหนึ่งที่รัฐบาลโลกตั้งขึ้นมาบังหน้า คุณหวังจะให้ผมทำอะไรล่ะ ผ่าหัวมนุษย์ทุกคนแล้วฝังชิปลงไปเพื่อไม่ให้ก้าวร้าวไม่เห็นแก่ตัวอย่างนั้นหรือ แล้วคุณรู้ไหมล่ะว่า ทุกวันนี้ประชากรโลกมีทั้งหมดกี่หมื่นล้านคน ทั้งที่อยู่บนโลกนี้และบนดาวดวงอื่น ไหนจะในกระสวยอวกาศอีก…… อีกอย่างถ้าทำอย่างนั้นแล้วก็ใช่ว่าจะรับประกันได้ว่าจะได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ไหน ผมไม่รู้จะอธิบายให้คุณเข้าใจได้ยังไง คุณเคยได้ยินคำว่าจิตวิญญาณไหมกัปตันพิคาร์ด มนุษย์เปรียบเสมือนสายพันธุ์ที่ถูกสาปจากพระเจ้า…เอ่อ ถ้าเขามีตัวตนจริงน่ะนะ…จิตวิญญาณของพวกเราป่วยไข้เกินกว่าที่จะเยียวยาได้ไหว มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรามีสมองที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งปวงบนโลกนี้ แต่พวกเราส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยชอบที่จะใช้มันนัก ในอีกแง่หนึ่งพวกเราจึงเหมือนสายพันธุ์ที่โง่ที่สุด มีสมองแต่ไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ เรามักจะทำผิดพลาดในเรื่องเดิมๆ ในสิ่งเดิมๆ ซ้ำซากวนไปวนมา เหมือนประสบการณ์ในอดีตไม่ได้ช่วยทำให้เราฉลาดขึ้นสักเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพราะพวกเราเองต่างหากที่ไม่ยอมเรียนรู้ ไม่จดจำ ไม่คิดที่จะเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เราพอใจและเราเลือกที่จะย่ำอยู่กับที่…ความโง่เขลาเบาปัญญาของคนเมื่อสามพันปีก่อน ก็ยังคงเป็นความโง่เขลาของคนในสมัยนี้ ระยะเวลาสามพันกว่าปีไม่ได้ทำให้คนเปลี่ยนไปมากนัก… จะให้เปลี่ยนอะไรในตัวมนุษย์ก็พอเปลี่ยนได้อยู่หรอก ความเจริญทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ของเราเวลานี้มากพอที่จะเปลี่ยนหัวให้กัปตันได้ทันที เพียงแค่คุณนึกไม่ชอบหน้าตัวเองในตอนนี้ แต่จะให้เปลี่ยนสิ่งที่มันฝังอยู่ในกมลสันดาน ฝังอยู่ในสายเลือด ฝังอยู่ในรหัสดีเอ็นเอทุกตัวน่ะ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเจริญก้าวหน้าขนาดไหนก็ไม่มีทางทำได้หรอก เชื่อผมเถอะกัปตันพิคาร์ด…มนุษยชาติไม่ใช่อะไรอื่นหรอก นอกจากชิมแปนซีฉลาดๆ ฝูงหนึ่งเท่านั้นเอง…คอแห้งจัง ขอผมพักดื่มสักอึกก่อนนะ” พูดจบผมก็กรอกเหล้าเข้าปากจนพร่องไปครึ่งขวด
“แต่…แต่ว่าคุณชาติ”
“เดี๋ยววว…ก่อนนน สิ…คร้าบบบกัปตัน…เอิ๊ก ผมยังพูดไม่ทันจบเลย อย่าเพิ่งแทรกสิคร้าบบบ…ฟังผมก่อน…
เอ่ออ…เอิ๊ก” ผมรู้สึกว่าลิ้นตัวเองชักจะเริ่มประกาศความเป็นเอกเทศของมันกับผมเสียแล้ว ผมยืนโงนเงนไปมาแล้วเริ่มเซแถดๆ ไปทางขวามือตรงที่สาวๆ ยืนอยู่ นั่นแม่เคียวโกะทำท่าจะเข้ามาประคองผมแล้ว...เข้าทางตีน !
“คุณ…คุณชาติเป็นอะไรไปยังไหวไหม…คะ” เธอปรี่เข้ามาประคองผม ปากก็ละล่ำละลักถาม ให้ตายเถอะ...นี่มันภาพโฮโลแกรมระบบไหนกัน ทำไม…เธอนิ่มได้เหมือนจริงอย่างนี้
“แหม...ต้องไหวสิจ๊ะ มีน้องคอยประคองอยู่ข้างๆ อย่างนี้ทั้งคืนยังไหวเลย” สันดานเก่าของผมมันโผล่ขึ้นมาเองตามธรรมชาติโดยไม่ได้นัดหมาย ผมเอื้อมมือไปด้านหลังบีบก้นเธอหนึ่งทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น ให้ตายเถอะมันนิ่มจริงๆ ด้วย !
“ว้าย ! อีตาบ้า” เธออุทานออกมาพลันดีดตัวออกจากผม แถมยังส่งค้อนงามๆ มาให้อีกหนึ่งดอก ผมชักสงสัยแล้วสิ ทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ได้เหมือนถึงเพียงนี้
“อะแฮ่ม…อะแฮ่ม คุณชาติ” กัปตันพิคาร์ดทำเป็นแกล้งกระแอมไอเหมือนมนุษย์ขัดจังหวะผม พลางหันไปทำตาเขียวใส่เคียวโกะจนเธอก้มหน้าหงอไป
“แฮ่ะๆ โทษทีครับ ของมันเคยๆ”
“เอาล่ะ คุณชาติ พูดต่อได้แล้วผมรอฟังอยู่”
“เอ่อ ผมพูดถึงไหนนะ อ๋อจำได้แล้ว… กัปตันเคยได้ยินชื่ออาคิระ คุโรซาว่าไหมครับ”
“อาคิระไหนกัน ผมไม่รู้หรอก แต่ถ้าอยากรู้ล่ะก็ ผมสามารถค้นเอาจากในฐานข้อมูลของมนุษย์โลกได้ ว่าแต่เขามาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”
“เกี่ยวสิครับ เกี่ยวววมากด้วย…เอิ๊ก โทษทีครับ กัปตันไม่ต้องไปค้นให้ยุ่งยากหรอก เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังเอง คืออาคิระ คุโรซาว่าเนี่ย เขาเป็นชาวญี่ปุ่นเคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เขาเป็นปรมาจารย์ด้านภาพยนตร์ที่สำคัญมากคนหนึ่ง เอ่อ...คือภาพยนตร์เป็นศิลปะโบราณที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเมื่อศตวรรษที่แล้วน่ะครับ ภาพยนตร์ของเขามักจะตีแผ่ธรรมชาติและสันดานดิบของมนุษย์ออกมาได้อย่างถึงแก่น ทีนี้มันเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังพูดกันอยู่ตรงที่ว่า เขาเคยพูดหรือเขียนอะไรบางอย่างไว้ ซึ่งผมคิดว่ามันสะท้อนถึงสันดานของมนุษย์ได้ดีที่สุด มันเป็นสัจธรรมที่อยู่เหนือกาลเวลา มันเป็นจริงมาแล้วกว่าสามพันปี และผมว่ามันก็ยังคงจะเป็นจริงอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นานเท่านาน ตราบเท่าที่เผ่าพันธุ์มนุษยชาติยังคงดำรงอยู่ ผมว่าถ้ากัปตันได้ฟังแล้ว น่าจะช่วยให้กัปตันเข้าใจถึงธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น”
“ไหน...เขาว่ายังไง คุณลองพูดมาซิ ผมชักอยากจะรู้แล้วสิ”
“เขาบอกว่า…มนุษย์นั้นอ่อนแอและขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดความจริง มนุษย์มักจะแกล้งลืมเรื่องที่ไม่ดี ทั้งที่ตัวเองทำหรือคนอื่นทำ รวมทั้งเหตุผลที่มนุษย์อยู่รอดมาจนทุกวันนี้ เพราะถึงที่สุดแล้ว มนุษย์มักจะนึกถึงตัวเอง เห็นแก่ตัวเองก่อนอะไรทั้งหมด… ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่ามันจะมาจากหนังเรื่องราโชมอน”
“อืมม์…เป็นทัศนะที่น่าสนใจทีเดียว” กัปตันพิคาร์ดเอามือไขว้หลังเดินวนไปเวียนมาเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ผมจึงเริ่มขยายความต่อ
“โดยธรรมชาติแล้ว…มนุษย์นั้นมักจะหาเหตุผลไว้สำหรับสิ่งที่ตนกระทำ ทั้งด้านดีงามและด้านอัปลักษณ์ ถ้าตนได้ทำความอัปลักษณ์ขึ้นมา มนุษย์ก็จะมีเหตุผลไว้เพื่อลดความรู้สึกผิดของตัวเอง…นี่แหละครับกัปตัน สันดานดิบของมนุษย์ทุกคนรวมทั้งตัวผมเองด้วย มนุษย์คือนักประนีประนอมชั้นยอด...กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเหตุผลที่มนุษย์เอ่ยอ้างกัน มักจะเป็นเหตุผลที่ถูกคิดค้นขึ้นมาภายหลัง เพื่อใช้อธิบายการกระทำของตนเองที่ได้ผ่านพ้นไปแล้วทั้งนั้น หาใช่เหตุผลที่แท้จริงหรือเหตุผลที่ตรึกตรองก่อนลงมือกระทำไม่” ยกเหล้าขึ้นกระดกอีกอึก รู้สึกชักจะหมั่นไส้ตัวเองตะหงิดๆ ที่กระแดะทำตัวเป็นนักปราชญ์ ลึกๆ แล้วผมรู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่านั้นสักเท่าไหร่ ความเมามายน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผมในตอนนี้
“คุณชาติ เคยมีใครบอกคุณบ้างไหมว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ผมว่าคุณเป็นอย่างนั้นนะ” กัปตันพิคาร์ดเอ่ยถามผม
“ถ้ากัปตันคิดอย่างนั้น ผมก็คงจะไม่ปฏิเสธหรอกครับ แต่ถ้าจะถามความรู้สึกของผมจริงๆ แล้วล่ะก็ ผมว่าผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายหรอก ผมมองโลกอย่างที่มันเป็นจริงต่างหาก สำหรับผมแล้วโลกไม่ได้เป็นสีดำหรือสีขาว โลกเป็นสีเทาๆ…นี่ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะเชิญกัปตันและทุกๆ คน…สาวๆ ด้วย มาลองใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์สัก 2-3 ปี พวกคุณจะได้รู้ได้เห็นด้วยตาของตัวเองว่ามันเป็นจริงอย่างที่ผมพูดหรือเปล่า…” ผมหยุดพักกระดกเหล้าอีกครั้ง เริ่มมองเห็นกัปตันพิคาร์ดในเปลือกของแอนโทนี่ ฮอพกินส์แยกร่างเป็นสองคน นี่ผมคงเมาได้ที่แล้ว
“ผมต้องขอโทษกัปตันด้วย ถ้าบทสนทนาระหว่างเรามันจะสั้นไปกว่าที่กัปตันคาดหวังเอาไว้ว่าควรจะเป็น ผมเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรกัปตันได้มากกว่านี้ ทั้งที่ผมอยากจะทำ แต่สิ่งที่กัปตันต้องการมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ เราไม่มีทางเลือกอื่นหรอกนอกจากต้องยอมรับมัน…..ถ้ากัปตันสังเกตก็จะเห็นว่า ตอนที่คุณบอกผมว่าในอีกสองพันปีข้างหน้ามนุษย์โลกจะก่อการกบฏสร้างความเดือดร้อนไปทั่วจักรวาล ผมไม่ได้แปลกใจสักเท่าไหร่เลย ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า ถ้าหากกัปตันลองค้นดูในฐานข้อมูลย้อนหลังไปในประวัติศาสตร์กว่าสามพันปีของมนุษยชาติ คุณก็จะรู้ว่านั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่มนุษย์ทำอย่างนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เคยมีสงครามเกิดขึ้นแล้วนับพันนับหมื่นครั้ง ทั้งสงครามกลางเมือง สงครามระหว่างคนเชื้อชาติเดียวกันเอง สงครามระหว่างเชื้อชาติ หรือกระทั่งสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์… สงคราม การเข่นฆ่า ความรุนแรงและความเห็นแก่ตัว… สิ่งเหล่านี้มันฝังแน่นอยู่ในสายเลือดของพวกเราทุกคน เชื่อผมเถอะครับกัปตัน…ผมขอแนะนำอะไรคุณสักอย่าง...ถ้าหากว่ามันจำเป็นนะกัปตัน ได้โปรดทำลายดาวดวงนี้ซะเถอะ”
“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะคุณชาติ คุณพูดอย่างกับว่าคุณไม่แคร์อย่างนั้นแหละว่าจะมีชีวิตอยู่หรือจะตาย”
“ไอ้แคร์น่ะมันแคร์อยู่หรอกครับ มนุษย์เราทุกคน มันมีสัญชาตญาณแห่งความรักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าสิ่งที่กัปตันพูดมา มันเกิดขึ้นจริงในอีกสองพันปีข้างหน้า ถ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นต้นเหตุที่สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทั้งจักรวาล...ผมว่ามันก็เป็นการไม่ยุติธรรมต่อสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นๆ ในจักรวาล ถ้ามนุษย์เป็นต้นเหตุมันก็ต้องแก้ที่มนุษย์...ถ้าแก้ไม่ได้ผมว่ามันก็แฟร์ที่สุดแล้วที่จะต้องจบอย่างนั้น…เอิ๊ก…เอิ๊ก…ขอโทษทีครับ” ผมชักรู้สึกตาลายซะแล้ว
“อืมม์...คุณช่างเป็นมนุษย์ที่แปลกมากคุณชาติ”
“เอาล่ะครับกัปตัน ผมว่าหมดเรื่องของผมแล้ว ทางที่ดี...ผมขอแนะนำให้กัปตันรีบส่งตัวผมกลับจะดีกว่า เพราะผมรู้ตัวดีว่าเมาแล้ว และเวลาผมเมา ผมมักจะชอบทำอะไรเพี้ยนๆ อยู่เสมอ...ผมไม่อยากให้มนุษยชาติต้องอับอายขายขี้หน้าไปมากกว่านี้…เอิ๊ก…เอิ๊ก”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เขาพูด สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือ ชาติแก้ผ้าออกจนหมด แล้ววิ่งไล่ปล้ำสาวๆ เหล่านั้นไปจนทั่วยานอย่างไร้ยางอาย เขาลืมไปแล้วว่าพวกหล่อนเป็นมนุษย์ต่างดาว ขณะที่พวกหล่อนวิ่งหนีพลางแหกปากร้องกรี๊ด
กร๊าดดังระงมไปทั่วทั้งยานนั้น กัปตันพิคาร์ดกับคนที่หน้าเหมือนแบรด พิทท์และเคิร์ท โคเบน ก็จับกลุ่มหารือกันว่าควรจะทำยังไง ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจส่งชาติกลับในทันทีเพื่อยุติความวุ่นวายบนยานแอ็กโนสติค X-22 ลำนั้น…
...ชาติรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของอีกวันหนึ่งบนเตียงนอนในห้องของเขาเอง ชาติเข้าใจเอาเองว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในฝันของเขา เมื่อคืนเขาคงดื่มมากไปเลยฝันประหลาดๆ แต่เขาก็ชอบมัน เขาจำไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่เคยฝันดีอย่างนี้เลย…แต่รอจนเขาเดินไปเข้าห้องน้ำก่อนเถอะ เขาจะเห็นข้อความประหลาดๆ บนกระจกเหนืออ่างล้างหน้า เขียนด้วยลิปสติคสีแดงใจความว่า
“ปฏิบัติการจะเริ่มต้นเวลา 03.00 น. ของวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2600”
กัปตันพิคาร์ด.

…………………………………..


* ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือรวมเรื่องสั้น “วันพิพากษา” โดย ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

ภาพประกอบจากเว็บไซด์:http://laughingsquid.com




All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

ความเรียงเกี่ยวกับภาพยนต์:เพื่อนสนิท

เพื่อนสนิท-ความทรงจำกับความว่างเปล่า


ต่อให้ตัดความสัมพันธ์ที่ผมมีต่อเจ้าของบทประพันธ์ออกไป(อภิชาติ เพชรลีลา) หรือตัดการโปรโมทผ่านสื่อต่างๆ นับสิบวิธีจากเจ้าของหนัง ทั้งมิวสิควีดีโอที่นำเพลงเก่าเนื้อหาบาดใจ(สำหรับคนเคยแอบรักคนใกล้ตัว)มา Cover ใหม่ ทั้งการอัดโฆษณาทางโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ โปสเตอร์ ใบปลิว แฮนด์บิลล์ ฯลฯ...ผมก็ยังคิดว่าหนังเรื่องนี้มีดีให้เขียนถึงอยู่ดี
ก่อนชม ผมเคยอ่าน “กล่องไปรษณีย์สีแดง” รวดเดียวจบมาแล้ว ซึ่งไม่ปรกตินักสำหรับคนขี้เกียจอย่างผม นั่นเป็นตอนที่อัดอยู่บนรถสองแถวฝุ่นคลุ้ง เส้นทางจากหลวงพระบางมุ่งสู่วังเวียง โดยมีสาวลาวผิวขาว หน้าตาน่ารัก กลิ่นกายหอมรัญจวนใจนั่งเบียดกายอยู่ด้านข้าง หล่อนดูจะสนใจในสิ่งที่ผมกำลังอ่าน แต่เท่าที่เราทำได้ก็เพียงส่งยิ้มให้แก่กัน วินาทีนั้น...ผมเชื่อว่าเส้นแบ่งพรมแดนในใจเราจางหายไป ความต่างระหว่างสองวัฒนธรรมได้หลอมละลายกลายเป็นหนึ่งเดียว กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ยามรักที่แท้แวบผ่านขั้วหัวใจ ผมเชื่อว่า สมมติสัจจะทั้งปวงกลายเป็นสิ่งไร้ความหมายสำหรับเราทุกคน...
ในความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต
* หากมีสิ่งใดพอจะประทังความแล้งไร้นั้นได้บ้าง ก็คงเป็นความรักและมิตรภาพ...ใช่ว่าไม่เคยผ่านอดีตอันเจ็บช้ำและความทรงจำที่อยากจะลืม แต่ที่ผมยังศรัทธาอยู่เช่นนั้น เป็นเพราะผมเชื่อว่าแท้จริงแล้ว ความเจ็บปวดอันเกิดจากสัมพันธภาพที่สิ้นสุดหรือมิตรภาพซึ่งจบลง เป็นเรื่องของมนุษย์กระทำกับมนุษย์ล้วนๆ ความรัก(มิตรภาพ)ไม่เคยทำร้ายใครหรอก คนเราต่างหากที่ทำร้ายกัน ความรักและมิตรภาพ เป็นสิ่งสากลและเป็นภาษาสากลเสมอมา และจะยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอไป มิตรภาพเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ด้วยรอยยิ้มบางๆ เพียงครั้งเดียว ความรักก็เช่นกัน...
และด้วยความเป็นสิ่งสากล(สามัญ)เช่นนี้เอง หนังรัก หนังสือรัก เพลงรัก ละครรัก จึงได้รับความนิยมมากกว่าเนื้อหาในแนวอื่นเสมอมา จากทุกเชื้อชาติ ทุกภาษา ทุกชนชั้น...โอเปอเรเตอร์สาวในสำนักงานเล็กๆ แห่งหนึ่ง อาจเสพติดนิยายรักเรื่องเดียวกันกับสาวไฮโซทายาทอภิมหาเศรษฐีหมื่นล้าน ก็เป็นได้ นิสิตฯเกียรตินิยมอันดับหนึ่งคณะแพทยศาสตร์อาจเสพติดละครหลังข่าวเรื่องเดียวกันกับส้ม-เด็กสาวผู้วิ่งขายมาลัยอยู่ตรงสี่แยกรัชดาฯ ก็เป็นได้...เพราะความรักเป็นเรื่องของหัวใจไม่ใช่ใบปริญญา
ไม่แปลก...หากเรื่องราวของดากานดากับไข่ย้อย จะทำให้เราคิดถึงใครบางคนขึ้นมาอย่างจับใจ ก็ในเมื่อลิ้นชักความทรงจำของเราไม่ได้ว่างเปล่า มิใช่หรือ...ในตอนแรก ผมติดใจเรื่องความสมจริงของหนัง “เป็นไปได้เหรอวะ...หากเพื่อนสนิทของผมแอบชอบผม แล้วผมไม่รู้ เป็นไปได้เหรอวะ...หากผมแอบชอบเพื่อนสนิทสักคน แล้วผมจะทนเก็บไว้ในใจได้นานถึงสี่ปี โดยไม่พยายามจะบอกกับเธอเลย...” เมื่อตรองให้ดี ข้ามให้พ้นจากข้อจำกัดของความเป็นหนัง ผมพบว่าอะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ความเขลาไม่เคยเข้าใครออกใคร ก็มิใช่มนุษย์เราเองดอกหรือ ที่นิยมทำเรื่องที่ซับซ้อนโดยตัวของมันเองอยู่แล้วอย่าง“ชีวิต”...ให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก
โดยไม่รู้ตัว หนังเรื่องนี้อาจนำคุณย้อนเวลากลับไปในอดีต ทำให้คุณได้ระลึกถึงความรัก มิตรภาพ และผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางครั้งอาจจะทำให้เสียน้ำตา แต่ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา ก็ทำให้ปัจจุบันของคุณไม่ว่างเปล่า...มิใช่หรือ...
สัญญา...ว่าผมจะไม่นินทากับใครว่าคุณเป็นบ้า
สัญญา...ว่าผมจะไม่บอกใครที่แอบเห็นคุณอมยิ้มอยู่คนเดียว
ลองหา “เพื่อนสนิท” มาดู แล้วคุณจะรู้ว่าความทรงจำเป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่าเพียงใด.

..................................................
* สำนวนของภัควดี วีระภาสพงษ์ จากหนังสือ “ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต” โดย มิลาน คุนเดอรา สนพ.คบไฟ

All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak