ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

Chartvut Bunyarak, a man who fall in love with short story.

วันเสาร์, มกราคม ๑๓, ๒๕๕๐

บทกวี:เมล็ดพันธุ์


เมล็ดพันธุ์

19 พฤษภาฯ 2549
เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง
แตกหน่อขึ้นอีกครั้งที่บ้านกูจิงลือปะ
แรงสั่นสะเทือนเลือนลั่น
สร้างรอยร้าวใหม่ขึ้นในหัวใจนับล้านดวง

“อมนุษย์หน้าไหนกันทำเช่นนั้น
ด้วยศรัทธาชนิดใด...
ด้วยหัวจิตหัวใจแบบไหน”
ทั่วแคว้นแดนดินทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก
ต่างตั้งคำถาม ประณาม สาปส่ง...

จึงวินาทีนั้นเมล็ดพันธุ์ได้หยั่งราก
บนหัวใจที่เริ่มแบ่งแยก...ยิ่งแบ่งแยก
นั่น “พวกเขา” นี่ “พวกเรา”
นั่น “ไทยพุทธ” นี่ “มุสลิม”
ชอนไชไปตามซอกอันดำมืด
กัดกินความรักในเพื่อนมนุษย์
ซึ่งครั้งหนึ่ง...เราเคยมีให้แก่กัน

ก่อเกิดเป็นอคติในทิศอับแสง
บอดใบ้ต่อทุกสรรพสำเนียงใด
หรือที่แท้แล้ว...
หาใช่ “คนกลุ่มนั้น” หรือ “คนกลุ่มไหน”
ที่สร้างความร้าวฉานขึ้นบนผืนแผ่นดินนี้
แต่เป็นรอยแยกเล็กๆ ในใจเรา
...นั่นต่างหาก.
............................................
ภาพประกอบขากเว็บไซด์ http://www.navy.mi.th/navic/gallery/inbook/880703k.jpg



All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

เรื่องสั้น:ตาบอด

ตาบอด

อีกสิบนาทีก็จะครบสองชั่วโมงแล้วที่ผมนั่งอยู่ที่นี่ ป้ายรถเมล์อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทอดสายตาออกไปเบื้องหน้า รถราวิ่งกันขวักไขว่ เสียงแตรรถบีบไล่กันก่อสำเนียงรบกวนโสตประสาท ถ้าเป็นปกติผมคงรู้สึกรำคาญและนึกด่าคนขับอยู่ในใจ แต่ไม่เลย วันนี้ผมกลับรู้สึกสงบ...เงียบ
ผู้คนมากมายเดินสวนกันผ่านหน้าผมไปหลายร้อยคนแล้ว ทุกคนดูเร่งรีบเหมือนมดงานก้มหน้าก้มตาแบกอาหารกลับรวงรังก่อนที่ฝนจะตก ตรงป้ายที่ผมนั่งมีผู้ร่วมชะตากรรมอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคนเห็นจะได้ บางคนนั่ง บางคนยืน ทุกครั้งที่มีรถเมล์วิ่งเข้ามาจอดเทียบที่ป้าย ทุกคนจะชะเง้อคอสอดส่ายสายตามองดูหมายเลขรถ ว่าจะใช่สายที่นำพวกเขาไปสู่จุดหมายปลายทางหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะเดินไปยืนรออยู่บริเวณริมฟุตบาท การเดาใจคนขับว่าจะหยุดรถรอรับ-ส่งผู้โดยสารที่ตรงไหนถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนกรุงเทพฯ เพราะนั่นหมายถึงลำดับที่คุณจะได้ก้าวขึ้นรถก่อนหรือหลัง ก่อนหมายถึงคุณมีโอกาสได้เลือกตำแหน่งที่นั่งที่ดีที่สุดก่อน หลังอาจหมายถึงคุณจะต้องยืนโหนรถเมล์ฝ่าควันพิษและการจราจรอันแสนสาหัสไปจนถึงปลายทาง นั่นอาจใช้เวลาร่วมชั่วโมงหรือนานกว่านั้น เชื่อผมเถอะมันไม่ใช่เรื่องสนุกหรอก… บางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า คุณสามารถรู้ได้ว่าใครเป็นคนกรุงเทพฯ หรืออยู่กรุงเทพฯ มานานด้วยการสังเกตพฤติกรรมการใช้รถเมล์...คุณล่ะว่าไง... ชีวิตเมืองเต็มไปด้วยการแก่งแย่ง แข่งขัน เอารัดเอาเปรียบและความเร่งรีบ บางครั้งเราก็รีบกันเสียจนหลงลืมบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญในชีวิต มองข้ามสิ่งดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย...
นั่นไง มาอีกคันหนึ่งแล้ว...รถสายที่ผมรออยู่ เป็นคันที่แปดแล้วในรอบสองชั่วโมง ผมตัดสินใจไม่ไปทั้งที่จริงนี่ก็เลยเวลานัดมาชั่วโมงกว่าแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกเพื่อนๆ คงเข้าใจ ผมยังอยากนั่งมอง นั่งคิด นั่งคุยกับตัวเองอีกสักพัก ไม่บ่อยนักหรอกที่ผมได้ทำแบบนี้ คุณว่ามันแปลกไหมที่เราต่างก็รู้กันดีอยู่ว่าทุกคนต้องการบางเวลาอยู่กับตัวเอง พูดคุยกับตัวเอง ทบทวนถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา แต่เรากลับไม่ค่อยจะทำกันนัก ผมนึกถึงเนื้อร้องท่อนหนึ่งในเพลง November Rain ที่วง Guns N’ Roses ร้องเอาไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว “Everybody needs some time on their own – Don’t you know you need some time…all alone” เป็นไปได้ไหมว่า เพราะเราต่างละเลยที่จะสำรวจตรวจสอบสิ่งที่ตัวเองคิด พูด และทำ เราต่างเคยชินกับการมองไปรอบตัวแล้วตัดสินประเมินค่า พิพากษาสิ่งต่างๆ แต่ลืมที่จะหันมามองดูตัวเอง พิพากษาตัวเองและกล้าพอที่จะเป็นผู้รับผิด...โลกถึงได้เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้
คุณอย่าเพิ่งหาว่าผมบ้านะ ปกติผมก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก แต่บังเอิญว่ามันมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ป้ายรถเมล์เมื่อเช้านี้…บางสิ่งบางอย่างมันกระทบจิตใจ ผมยังจำภาพสุดท้ายนั้นได้ติดตาและมันคงยังอยู่ติดใจผมไปอีกนาน คุณอยากรู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้ผมมานั่งเหม่อลอยอยู่ที่นี่เกือบสองชั่วโมงแล้ว มา...ผมจะเล่าเรื่องของไอ้ต้นให้คุณฟัง เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก เราทั้งสองสนิทกันมาก…
เมื่อเช้านี้เขาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นจิตใจร่าเริงแจ่มใส ออกจะเบิกบานเกินเหตุเล็กน้อยจนคนที่บ้านทักว่าทำไมอารมณ์ดีจัง เขาได้แต่ยิ้มๆ แทนคำตอบ ทั้งที่จริงเมื่อคืนเขานอนดึกมากเพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์จนเกือบตีสาม เขาบอกผมว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเคยคุยโทรศัพท์นานๆ อย่างนี้คือสมัยที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม แน่นอน เขาคุยกับผู้หญิง แต่ไม่ใช่คนที่เป็นแฟนเขาอยู่หรอกนะ เป็นผู้หญิงซึ่งเขาเพิ่งรู้จักในผับเมื่อเสาร์ที่แล้ว ตอนเราไปเที่ยวด้วยกัน อาจเป็นเพราะบทสนทนาทางโทรศัพท์ก็ได้ที่ทำให้เขาอารมณ์ดี วันนี้เขานัดเจอเธอที่สยามสแควร์พร้อมเพื่อนๆ อีก 2-3 คน
เขาอาบน้ำและแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน เลือกเสื้อและกางเกงตัวที่ชอบที่สุดออกมาใส่ พ่นน้ำหอมกลิ่นโปรดก่อนออกจากห้อง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่เขาก้มลงใส่รองเท้าก่อนออกจากบ้าน...แฟนของเขานั่นเอง ทั้งคู่คบกันมาตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ม.3แล้ว เธอชวนเขาไปดูหนังที่สยาม
สแควร์ เขาบอกเธอไปว่าวันนี้จะต้องไปทำธุระกับเพื่อน…เรื่องงาน การต้องโกหกทำให้เขารู้สึกผิดเล็กน้อยแต่ก็ลืมมันไปได้อย่างรวดเร็ว เขาเดินทอดน่องสูบบุหรี่อย่างสบายอารมณ์ ไม่มีอะไรต้องรีบร้อนยังมีเวลาเหลือเฟือ อนุสาวรีย์ฯ-สยามสแควร์ใกล้แค่นี้เอง เขามั่นใจว่าจะต้องไปถึงที่นัดหมาย-ร้านมิสเตอร์โดนัทก่อนเธออย่างแน่นอน มีเวลาเข้าห้องน้ำไปใส่เยลหวีผม เสริมหล่อได้อีกตั้งสองสามรอบเพื่อให้ตัวเองดูดีที่สุด เขาอยากให้เธอประทับใจตั้งแต่นัดครั้งแรก เขาคิดอย่างนั้น
ไม่นานเขาก็เดินมาถึงป้ายรถเมล์ มีคนรอรถอยู่ก่อนหน้าเขา 7-8 คน ไม่ถือว่าเยอะแต่มากพอที่จะทำให้ที่นั่งเต็มได้ เขาเลือกยืนตรงใกล้ๆ เสาด้านซ้ายของป้ายรถเมล์ ลองชะเง้อดูรถสายที่รอแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊กๆ มาจากทางซ้ายมือ เป็นจังหวะสม่ำเสมอเหมือนเสียงโลหะกระทบกับของแข็งบางอย่าง ดังขึ้นๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงหันไปดู... ภาพที่ปรากฏต่อสายตาในระยะห่างไม่เกินสิบเมตร คือชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามาที่ป้ายรถ ที่หัวไหล่ด้านซ้ายของทั้งคู่มีผ้าสีขาวๆ คล้องอยู่ มันผูกต่อกับกล่องไม้บางๆ ที่พวกเขาหนีบไว้ใต้วงแขน ข้างในต้องเป็นล็อตเตอรี่แน่ๆ...เขาคิดในใจ ฝ่ายหญิงยกแขนซ้ายขึ้นมาด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อให้ฝ่ายชายยึดเกาะแขนของตน ในมือขวาของผู้หญิงมีด้ามโลหะขนาดเล็ก ยาวไม่เกินสามฟุต เธอใช้มันเคาะพื้นคลำทาง นี่เองที่ส่งเสียงดังก๊อกแก๊ก...เขาคิด
ทั้งคู่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าดูทุลักทุเลพอควร ฝ่ายหญิงคอยร้องเตือนบอกฝ่ายชายให้ระมัดระวังจุดที่อาจจะเดินสะดุดได้ เขาพอจะได้ยิน มันช่างเป็นภาพที่งดงามและน่ารักเหลือเกินในความรู้สึกของเขา…มนุษย์สองคนถ้อยทีถ้อยอาศัยช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แต่ละก้าวที่ย่างผ่านเต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยและเอื้ออาทรระหว่างกัน...ชั่ววินาทีนั้นเขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างทั้งสองได้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นคนๆ เดียวกัน คล้ายมีรังสีอะไรบางอย่างส่องประกายเรืองรองออกจากร่างนั้นวูบวาบวิบไหว…
เขารู้ได้ในทันใดว่าทั้งคู่จะต้องเป็นคู่รักหรือไม่ก็เป็นสามี-ภรรยากันเป็นแน่ เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา สัญชาตญาณคงบอกให้เธอรู้ว่าตรงนี้มีคนยืนอยู่ เธอหันหน้ามาทางเขาแต่ก็ไม่ถูกทิศดีนัก เธอบอกขออภัยที่ต้องรบกวนเขา เธออยากให้เขาช่วยดูรถเมล์สายที่เธอกำลังรอให้ด้วย เขาตอบไปว่าได้ถ้ามาแล้วเดี๋ยวจะบอกให้รู้ เธอกล่าวขอบคุณ เขาบอกไม่เป็นไร เธอจึงหันกลับไปพูดคุยกับคนที่มาด้วยกัน เขาจึงได้รู้ว่าทั้งคู่ตาบอดสนิท...
แวบแรกที่เธอหันมาพูดกับเขา เขารู้สึกตกใจนิดหน่อยเมื่อได้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บนใบหน้าของเธอ เหมือนแผลเป็นที่เกิดจากของมีคม มันพาดผ่านจากใต้ตาด้านซ้ายยาวลงมาผ่านริมฝีปากบนและล่างจนถึงปลายคาง รอยฝีเข็มที่เกิดจากการเย็บแผลไม่ประณีตอย่างที่ควรจะเป็น ริมฝีปากของเธอจึงเว้าแหว่งบิดเบี้ยวผิดไปจากรูปเดิมอย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับสีเนื้อบริเวณที่เป็นแผลเป็น ออกจะเข้มกว่าผิวหน้าสีเหลืองซีดของเธอ ดูเผินๆ จึงคล้ายกับมีตะขาบวางพาดอยู่บนใบหน้า ดูน่ากลัว เขาเห็นหลายคนที่อยู่ตรงป้ายรถเมล์นั้นเบือนหน้าไปทางอื่น...
น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกสนใจเรื่องราวของคนทั้งคู่มากขึ้นไปอีก ตลอดเวลาที่ทั้งสองยืนอยู่ที่ป้าย เขาจ้องมองทั้งคู่เหมือนดั่งหลงใหลในผลงานของประติมากรเอกฝีมือก้องโลก ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงในพิพิธภัณฑ์ เขาเก็บทุกๆ รายละเอียดที่ตามองเห็น ทั้งเสื้อผ้าที่ทั้งคู่สวมใส่ รองเท้า ทรงผม กิริยาอาการที่ทั้งคู่แสดงออกยามสนทนากัน น้ำเสียงที่พูดคุย เสียงหัวเราะ เขาละลาบละล้วงกระทั่งแอบตั้งใจฟังบทสนทนาที่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป การทำมาหากิน ล็อตเตอรี่ขายไม่ค่อยดีเพราะคนนิยมเล่นหวยใต้ดินมากกว่า...อะไรทำนองนั้น
เขาเริ่มหันมาสังเกตฝ่ายชายบ้าง ถ้าไม่นับตาที่บอดคู่นั้นแล้ว คิ้วเข้มหนา จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเรียวบางได้รูปและวงหน้ารูปไข่ เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วจัดว่าชายผู้นี้เป็นคนหน้าตาดีทีเดียว ร่างสูงโปร่ง ผิวก็ขาวนวลเหมือนคนจากทางเหนือ ตัดกันอย่างเห็นได้ชัดกับผิวดำคล้ำดูเกรียมแดดของฝ่ายหญิง จะว่าไปแล้วทั้งคู่ดูไม่เหมาะสมกันเอาเสียเลยในความคิดของเขา แต่ให้ตายเถอะ...พวกเขาช่างดูมีความสุขเหลือเกิน ตลอดเวลาที่คอยอยู่นั้นทั้งคู่ยืนกุมมือกันไม่ยอมห่างเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหน เขาแทบจะรู้สึกได้เลยถึงความรักจากลมหายใจที่สูดเข้าไป เหมือนดั่งมีอณูความรักล่องลอยปะปนอยู่ในอากาศบริเวณนั้น
แวบหนึ่ง...เขาคิดถึงคนรักของเขา นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่เคยเดินจูงมือเธอ พักหลังๆ นี้เราเริ่มห่างเหินกันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะเธอหรอก ก็เขาเองนั่นแหละที่พยายามตีตัวออกห่าง ทั้งที่ก็ไม่ได้มีเรื่องทะเลาะอะไรกัน…หรือเป็นเพราะคบกันมานานเกินไป เขาจึงเบื่อเธออย่างไม่มีเหตุผล เมื่อไหร่ที่มีโอกาสเขามักจะพยายามเข้าไปทำความรู้จักกับผู้หญิงคนใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่างเช่นคู่นัดของเขาในวันนี้ เธอมีอะไรบกพร่องหรือก็เปล่า เธอออกจะเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างด้วยซ้ำและที่สำคัญเธอรักเขามาก และเขาก็รักเธอเช่นกัน แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเขาจึงไม่เคยพอใจในสิ่งที่เขามีอยู่ เขากำลังจะไปเที่ยวกับผู้หญิงอื่น เขาจงใจจะนอกใจเธอ เขาโกหกเธอ...ทำไม...ทำไม...
เสียงแตรรถฉุดเขาออกจากภวังค์ อ้าว นั่นรถเมล์สายที่ชายหญิงตาบอดคู่นั้นกำลังรออยู่นี่ คันที่ขับตามหลังมาติดๆ นั่นก็สายที่เขารออยู่ เขาเดินเข้าไปสะกิดบอกเธอ เธอกล่าวขอบคุณ เขารอจนรถจอดเทียบท่าดีแล้วจึงอาสาพาทั้งคู่ไปส่งที่ประตูรถ เธอหันมาขอบคุณอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นบันไดไป เขาเดินตรงไปยังรถเมล์คันที่จอดต่ออยู่ข้างหลัง เขาก้าวขึ้นบันได แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจเดินกลับลงมา ที่ป้ายรถคนเริ่มบางตา เขาเลือกนั่งตรงเก้าอี้ตัวริมซ้ายสุด เขาคิด เขาต้องการหาคำตอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ภาพชายหญิงตาบอดคู่นั้นยังคงวนเวียนอยู่ในมโนนึกตัดสลับกันกับภาพของคนรักเขา…เสี้ยวหนึ่งในความคิด เขารู้สึกว่าเขาอยาก
จะตาบอดบ้าง…
ดวงตาซึ่งทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่สวยงามในโลก บางครั้งมันก็กลับทำให้เรามืดบอดจากบางสิ่งบางอย่างได้โดยที่เราไม่รู้สึกตัว บางครั้งดวงตากลับกลายเป็นเหมือนสิ่งที่บดบังไม่ให้เรามองเห็นสิ่งที่สวยงามอย่างแท้จริง เช่นความดีงามที่ต้องใช้ใจมองเท่านั้นจึงเห็น…อย่างที่ชายตาบอดคนนั้นมองเห็นในใจของหญิงตาบอด อย่างที่เขามองไม่เห็นในตัวคนรักของเขา…
นี่ถ้าฉันตาบอด ฉันก็คงจะไม่ตัดสินคนแค่จากเปลือกนอกจากสิ่งที่ฉันมองเห็นเท่านั้น แต่จะว่าไปมันก็ไม่ใช่ความผิดของดวงตาเสียทีเดียวหรอก มันเป็นเรื่องของความเขลา เรื่องของความเป็นคนที่ยังคงมีกิเลส ตัณหา ราคะ ซึ่งยังหลงบูชาในเปลือกอยู่มาก และดวงตาเป็นเพียงเครื่องมือของมันที่ใช้เสพในเปลือกในวัตถุ โดยนัยนี้การมีดวงตากลับเหมือนทำให้เรามืดบอด มองไม่เห็นในสิ่งซึ่งงดงามอย่างแท้จริงได้ ฉันอยากจะตาบอดก็เพื่อที่จะขจัดความมืดบอดแห่งดวงตา หากแต่เป็นไปเพื่อเปิดดวงตาที่แท้จริง ดวงตาแห่งใจ-ดวงตาแห่งปัญญา สิ่งนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้เราได้มองเห็นความงามที่แท้จริงซึ่งปราศจากการปรุงแต่งแห่งรูปลักษณ์ภายนอก วัตถุ และสิ่งอื่นๆ ที่ไม่
จีรังยั่งยืน…
ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันควรจะทำอะไร ฉันจะไปหาเธอ ไปหาคนรักของฉัน ฉันจะพาเธอไปดูหนัง เราจะเดินจูงมือกัน…
นั่นล่ะครับเรื่องราวของไอ้ต้น คุณว่ามันฟังดูเพี้ยนๆ ไหม…อืมม์ ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ เขาออกจะดูเป็นคนประหลาดๆ อยู่สักหน่อย…โอ้โห…ว้าว ! คุณเห็นไหมนั่น…นั่นไง ทางซ้ายมือ…ผู้หญิงเสื้อสีชมพูที่กำลังเดินมานั่นไง น่ารักจังเลย คุณว่าผมเข้าไปคุยกับเธอดีไหม.....วะ ! โทรศัพท์ดังอีกแล้ว ใครนะดันโทรเข้ามาตอนนี้…
“ฮัลโหล”
“ไอ้ต้นมึงอยู่ไหน ทำไมยังไม่มาอีก”
“……....”
………………………………………


ภาพประกอบจากเว็บไซด์ http://www.nationalgeographic.co.kr/contest/section_view.asp





All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

บทความเกี่ยวกับภาพยนต์:FLIGHT PLAN



FLIGHT PLAN – เขาหรือเรากันแน่ที่เขลา?

อาจเป็นเพราะผ่านตาภาพยนตร์แนว Suspense มามากพอควร ผมจึงไม่ได้รู้สึกรู้สาตื่นเต้นไปกับฉากเร้าใจคนดูอย่างที่ผู้สร้างต้องการให้เป็น แต่กลับไปหมกมุ่นครุ่นคิดถึงสารัตถะแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในเนื้อหนังต่างหาก...
Flight Plan เล่าถึงเรื่องราวของหญิงบ้า (ในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่) คนหนึ่ง ผู้ซึ่งเพิ่งสูญเสียสามีและลูกอันเป็นที่รัก (ในความเข้าใจของคนส่วนใหญ่) หล่อนจึงมี“เหตุ”มากพอที่จะกลายเป็นคนวิกลจริตได้ (ในความคิดของคนส่วนใหญ่) เมื่อผนวกกับสิ่งที่ทุกคนบนเครื่องบินลำนั้นได้รับรู้อย่างขาดข้อมูล ผ่านการเห็นด้วยสายตา ผ่านการได้ยินด้วยหู เปลี่ยนเป็น“คำตัดสิน”อันตื้นเขิน ซึ่งเกิดจากทัศนคติที่พร้อมจะโน้มเอียงจนกลายเป็นอคติได้อยู่ตลอดเวลา ด้วยตัวแปรและข้อจำกัดของความเป็นมนุษย์ต่างๆ นานามากมาย...
หญิงคนหนึ่งที่วิ่งวุ่นตามหาลูกสาวซึ่งดูเหมือนจะหายตัวไป บนเครื่องบินโดยสารลำใหญ่รุ่นใหม่ล่าสุด บรรทุกผู้คนกว่าห้าร้อยชีวิต ที่กำลังไต่เพดานบินอยู่บนระดับความสูงนับหมื่นฟุต ที่ย่านความเร็วกว่าหลายร้อยชั่วโมง จึงพร้อมจะกลายเป็นไอ้ตัวโง่งม เจ้าปัญหา น่ารำคาญในสายตาของทุกผู้คนได้ไม่ยาก (ในความรู้สึกของคนส่วนใหญ่)...
บ่อยครั้งในชีวิตที่ผัสสะทั้งห้า(ตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส)อาจล่อลวงให้เราเดินสะเปะสะปะพลัดหลงเข้าไปติดกับดักแห่งมายาภาพ และด้วยความไม่เดียงสาของเราเอง ด้วยความเขลาของเราเอง ด้วยความอวดดีของเราเอง อาจแปรเปลี่ยนกลายเป็นมือที่มองไม่เห็น ยื่นมาปิดตาดวงที่สามแห่งเราให้มืดบอด บดบังทัศนียภาพแห่งปัญญาให้ปลาสนาการไปจากการรับรู้
เราจึงมีสภาพไม่ต่างไปจากหนูโง่ๆ ตัวหนึ่งที่ได้แต่วิ่งวนอยู่บนกงล้ออันเดิม ตะลึงเพริดไปในโลกของผัสสะ เวียนว่ายอยู่ในวังวนของความรัก โลภ โกรธ หลง เฝ้าไขว่คว้าแต่ในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริง...ตราบจนเมื่อเราล้าและเหนื่อยมากพอนั่นล่ะ ที่เราอาจหยุดวิ่ง และเมื่อทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง...นิ่งเสียจนกระทั่งใจเราเองยังหยุดนิ่ง เงียบและสงบมากพอจนสติปัญญาก่อเกิด เราจึงพินิจสิ่งต่างๆ ตามสภาวะที่เป็นจริง เห็นสรรพสิ่งอย่างที่มันเป็นไป...และในวินาทีนั้นเอง ที่ตาดวงที่สามแห่งเราจักเปิดขึ้นอีกครั้ง และเราอาจตระหนักถึงความจริงที่ว่า แท้จริงแล้วที่ผ่านมานั้น เราหาได้เคลื่อนที่ไปไหนไกลจากจุดเดิมเลย แม้แต่เซนติเมตรเดียว...
จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น เพราะมันอาจไม่ใช่ความเป็นจริงเสมอไป
ใช่หรือไม่ว่า ประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามา อาจช่วยทำให้เราเข้าใจในคำกล่าวนี้ได้ดียิ่งขึ้น จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น ย่อมไม่ได้หมายถึงไม่ให้เชื่อในสิ่งที่ตามองเห็นเท่านั้น แต่ยังหมายถึงจงอย่าเชื่อในทันทีทันใดที่ได้เห็น โดยปราศจากการไตร่ตรองให้รอบคอบด้วยสติปัญญาเสียก่อน มิฉะนั้น การณ์อาจกลับกลายเป็นว่า “มีตาก็หามีแววไม่”...
หญิงสาวผิวขาว หน้าตาน่ารัก ตัวเล็กๆ ดูน่าทนุถนอม ดุจนางฟ้าตัวน้อยๆ ของใครบางคน แท้จริงแล้วอาจไม่ต่างจากนางมารร้าย ผู้คอยชักใย ใช้น้ำตาและความอ่อนแอดูน่าสงสาร บงการผู้อื่นอยู่เบื้องหลังด้วยความย่ามใจ...ในขณะที่สาวผิวคล้ำจากบ้านนอกคอกไกล หน้าตาดุจนางอิจฉาตัวร้ายในละครหลังข่าว แท้จริงแล้วอาจประดุจนางฟ้าจุติมาจากสรวงสวรรค์ ผู้ทำความดีโดยไม่เคยมีเงื่อนไข ไม่หวังแม้แต่น้อยที่จะให้ใครสักคนมาคอยมองเห็น...
ประเด็นน่าสนใจของ Flight Plan อยู่ที่ว่า...เป็นเธอเองนั่นแหละที่ “บ้า” หรือเพราะคนส่วนใหญ่กันแน่ที่ “โง่”...
สำหรับผมแล้ว Flight Plan คือหนังปรัชญา!





All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak