ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

Chartvut Bunyarak, a man who fall in love with short story.

วันศุกร์, กันยายน ๒๙, ๒๕๔๙

บทกวี : ที่รัก...

ที่รัก...

อดทนเพียงสามสิบนาที
รอให้เธอ...นางฟ้าของฉันได้แผลงฤทธิ์
ดั่งเนรมิตสรรพสิ่งเปลี่ยนแปร
ในชั่วพริบตา...


โอ...ที่รัก
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฉันกลืนกินเธอ
ประดุจทาสผู้ต้องมนต์ดื่มด่ำใหลหลง
ยามเธอละลายหลอมรวมในกายฉัน
สรรพเคมีฉีดพล่านทั่วสรรพางค์กาย
คล้ายเธอติดปีกให้โบยบินจากโลกแห่งความจริง
กระชากอัตตาฉันร่วงกองอยู่บนพื้น
สาปทุกปรารถนา ทุกอารมณ์ ให้แน่นิ่ง

ไร้รัก,ไร้โลภ,ไร้โกรธ,ไร้หลง
มีเพียงความว่างเปล่า ทรงตัวอยู่ในความนิ่ง
ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่อาทรต่อสิ่งใดใด
ด้วยโลกทัศน์ผ่านแว่นตาอันใหม่
ฉันบอดใบ้ต่อสีแดงของเลือด
ไม่รู้สาต่อกลิ่นคาวและความตาย
ลอยล่องไปในโลกร้างท่ามกลางโกลาหล
มึนมึน เบลอเบลอ มึนมึน เบลอเบลอ มึนมึน เบลอเบลอ...

วันก่อนนั้น...อนารยชนก่อการร้ายร้ายที่กรือเซะ
สามสิบสองศพ...ฉันกลืนกินเธอ...
วันก่อนนั้น...อนารยชนก่อการร้ายร้ายที่ตันหยงลิมอ
สองนาวิกโยธินล่วงลับ...ฉันกลืนกินเธออีกครั้ง...
มาวันนี้...อนารยชนก่อการร้ายร้ายที่ปะนาเระ
ฆ่าพระเผาวัดวอดวาย...ฉันกลืนกินเธออีกครั้ง...และอีกครั้ง...
วันพรุ่งนี้...อนารยชนจะก่อการร้ายร้ายขึ้นที่ไหน
จะคร่าชีวิตใครใครอีกกี่ศพ...ฉันยังไม่รู้...ฉันยังไม่รู้เลย...

โอ...แอ็คติเฟดที่รัก
ครานี้ฉันขอกลืนกินเธอ
ล่วงหน้าก่อน สักเม็ดสองเม็ด
จะได้ไหมจ๊ะ.

....................................

* แอ็คติเฟด หมายถึง ยาแก้โรคหวัดชนิดหนึ่ง


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

วันพฤหัสบดี, กันยายน ๒๘, ๒๕๔๙

เรื่องสั้น : รอยแยก...


เรื่องสั้น : ร อ ย แ ย ก

มันเป็นรอยแยกกลางกบาล...ที่ดูทุเรศทุรัง

เป็นเรื่องน่าเห็นใจจักรกฤษณ์อยู่ไม่น้อยทีเดียว...ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน สายตาแทบทุกคู่ต่างก็อมยิ้มอยู่ในที บ้างถึงขั้นกระซิบกระซาบชี้ชวนด้วยวาจาให้มองมาทางเขา สังคมปฏิบัติต่อเขาอย่างกับเป็นตัวประหลาด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เราสมควรสรุปได้อย่างชัดเจนเลยว่าจักรกฤษณ์เป็นเพียงประชาชนคนธรรมดา ที่เดินดิน กินข้าวแกง และซื้อหวยเพื่อหวังรวยทางลัดบ้างเป็นบางครั้ง ไม่ต่างจากคุณและคนทั่วๆ ไปอีกกว่าหกสิบล้านคน

จักรกฤษณ์เป็นเพียงชนชั้นกลางนักประนีประนอมที่ไม่ชอบมีเรื่องขัดแย้งกับใคร เขาแค่รู้สึกร้อนและคันหัวเพราะผมประบ่าที่ยาวรุงรังเกินพอดี จึงเดินเข้าร้านตัดผมในตอนสายของวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2547 หลังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่มัสยิดกรือเซะ* อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานีหนึ่งวัน...เราอาจกล่าวได้อย่างนั้น

และเพื่อมิให้น้ำหนักของเรื่องซึ่งเกี่ยวโยงอยู่กับถ้อยคำอันสูงส่งอย่างคำว่า “ความยุติธรรม” ต้องเอนเอียงจนเกินไป เราควรกล่าวถึงสังคม(ที่)นิยมมองจักรกฤษณ์ด้วยสายตาขบขัน-เสียดเย้ยเอาไว้สักหน่อย เพราะหากกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงผู้บริสุทธิ์เช่นเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องที่ผิดพลาดจนคอขาดบาดตายมิใช่หรือ หากเราจะหัวเราะให้กับโศกนาฏกรรมเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่นบ้าง ตราบใดที่มันไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง...
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของพวกเขาในวันนั้น คือภาพของชายหนุ่มวัยสามสิบเศษ เจ้าของใบหน้าคมเข้มประดับหนวดเครารกครึ้ม มีแว่นสายตาทรงกลมสีเงินหม่น แปะอยู่บนดั้งจมูกซึ่งบานผิดรูปไปเล็กน้อย ผิวสีทองแดงบอกให้รู้ว่าเขาน่าจะมาจากดินแดนด้ามขวาน เช่นเดียวกับเศษผมเส้นสั้นๆ ยาวๆ ที่ติดอยู่ตามใบหน้าและเนื้อตัว ซึ่งฟ้องว่าเขาคงเพิ่งจากร้านตัดผมมาได้ไม่นาน ประเด็นมันอยู่ตรง รอยแยกที่เพียงเห็นก็แทบจะได้กลิ่นเหม็นเขียว ตรงกลางกบาลของจักรกฤษณ์นั่นเอง แม้เด็กป.4 ก็คงบอกได้หรอกว่ามันไม่ใช่เทรนด์ของแฟชั่นใหม่แต่อย่างใด ภาพของชายหนุ่มที่กำลังเดินจมูกบานพะเยิบพะยาบด้วยความโกรธอยู่บนฟุตปาธ บ่นพึมพำอะไรคนเดียวเหมือนหมีกินผึ้ง กับทรงผมที่ดูเหมือนคนหัวล้านแบบชะโดตีแปลง* มันก็น่าหัวร่ออยู่มิใช่หรือ...

คงไม่ผิดเสียทีเดียวหากเราจะกล่าวว่ารอยแยกกลางกบาลของจักรกฤษณ์นั้น เกี่ยวข้องกับปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้ของไทย แต่จะให้ถูกยิ่งไปกว่านั้นเราคงต้องกล่าวใหม่ว่า รอยแยกกลางกบาลของจักรกฤษณ์ เริ่มต้นจากรอยแยกเล็กๆ ในจิตใจคน...รอยแยกอันเกิดจากข้อจำกัดตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งเมื่อได้รับตัวแปรอันเหมาะสมบางอย่าง ก็จะพัฒนาไปสู่ความเกลียดชัง แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งภูมิภาค แบ่งศาสนา แบ่งเชื้อชาติ แบ่งทุกๆ อย่างที่ความเขลาจะพาเราไป และเมื่อถึงจุดหนึ่ง รอยแยกเล็กๆ ดังกล่าวก็จะถ่างกว้างออกไปจนไร้จุดสิ้นสุด...

มันเป็นสถานการณ์ที่ขันขื่น...โคตรจะขันขื่น...เช้าวันนั้นในร้านตัดผม จักรกฤษณ์เหมือนถูกใครสักคนกลั่นแกล้ง จับเหวี่ยงให้หล่นตุ้บอยู่บนเขตแดนแห่ง No Man’s Land* เขาตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสงครามแห่งความเกลียดชังอันไร้สาระ ท่ามกลางคมปัตตาเลี่ยนสองอันในมือช่างตัดผมสองคน...ตอนแรกทุกอย่างมันก็ดีอยู่หรอก วินาทีที่จักรกฤษณ์ผลักประตูบานใสเข้าไป ลมเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศก็ลอยมาปะทะใบหน้า ดับไอร้อนจากแดดเมษาฯ ที่แฝงฝังอยู่ในที-เชิ้ตสีดำ พอให้รู้สึกผ่อนคลาย เก้าอี้ตัดผมทางซ้ายทั้งห้าตัวล้วนมีลูกค้าคนอื่นจับจองอยู่แล้ว ช่างเหมาะเหม็งเป็นใจให้เขาได้หย่อนก้นลงบนเบาะนุ่มๆ เพื่ออ่านหนังสือพิมพ์ฟรีได้สักพักหนึ่ง ก่อนขึ้นเขียงเพื่อเสริมหล่อ

จักรกฤษณ์กวาดสายตาสำรวจข่าวหน้าหนึ่งอย่างคร่าวๆ เลือกอ่านเฉพาะเรื่องตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กแบบ Human Interest* ทั่วไป และจงใจเว้นข่าวการเมืองอย่างไม่แยแส จากนั้นจึงพลิกสู่ข่าวบันเทิงหน้าใน ดูภาพนักร้องนุ่งน้อยห่มน้อยโกอินเตอร์ที่กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ตามข่าวเรื่องดาราสาวที่ท้องก่อนแต่งอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะปิดท้ายด้วยข่าวของแวดวงกีฬากับตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก* ก็พอดีกับที่ลูกค้าคนหนึ่งลุกออกไป จึงถึงคิวของเขา

“ทรงอะไรดีครับ” ช่างตัดผมวัยหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเอ่ยถามจักรกฤษณ์
“สกินเฮ้ดเลยครับพี่ ทนไม่ไหวแล้ว ร้อนเหลือเกิน” เขามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก พลางเสยผมยาวประบ่าอย่างอาวรณ์ ก่อนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นผ้าขนหนูผืนน้อยจึงถูกพันที่รอบคอของจักรกฤษณ์อย่างหลวมๆ ตามด้วยผ้าคลุมกันเศษผมผืนสีเทายาวกรอมเท้า แป้งฝุ่นกันระคายเคืองถูกโปะเบาๆ ตรงหลังใบหูและซอกคอพอให้รู้สึกสยิว แล้วกรรไกรเหล็กสีเงินวาวก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน ตัดฉับลงบนมวยผม เหลือสั้นเพียงติ่งหู นิ้วมือซ้ายขวาของช่างผู้ชำนาญทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว นิ้วชี้กับนิ้วกลางมือซ้ายคีบกระจุกผมพอประมาณรั้งไว้ในแนวดิ่ง ขณะมือขวากดคมกรรไกรลงบนโคนผม ห่างจากหนังศีรษะราวหนึ่งนิ้ว ไม่กี่นาทีให้หลัง ผมบนหัวของเขาจึงเหลือเพียงตอสั้นๆ ระเกะระกะไม่เป็นทรง ซึ่งส่งผลให้ใบหน้าของจักรกฤษณ์ยามนี้ดูตลกเป็นยิ่งนัก

แล้วช่างตัดผมก็ละมือจากงานของเขา หรือกล่าวให้ชัดยิ่งกว่านั้นได้ว่า แล้วช่างตัดผมก็ละมือจากหัวของจักรกฤษณ์เป็นการชั่วคราว เพื่อเดินไปเปิดโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่บนตู้โชว์เยื้องไปทางด้านหลังของเขา และเราอาจกล่าวได้ว่า ความฉิบหายวายป่วงทั้งมวลมันเริ่มต้นจากจุดนั้นนั่นเอง...
ทันทีที่ภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่มัสยิดกรือเซะปรากฏขึ้นบนจอยี่สิบเอ็ดนิ้ว เสียงของผู้ประกาศข่าวสาวก็ลอยมาตามลม

“จากกรณีที่มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มคนร้ายกับเจ้าหน้าที่บริเวณมัสยิดกรือเซะ ตำบลตันหยงลูโละ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานีเมื่อเช้าตรู่วานนี้ จนถึงขณะนี้มีรายงานที่ได้รับการยืนยันแล้วว่า พบศพผู้เสียชีวิตอยู่ในมัสยิดดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 31 ศพ...”
“ฮะ ฮะ ฮะ...สมน้ำหน้าแม่ง...ตายๆ ซะได้ก็ดี...เสือกวุ่นวายกันนัก” เสียงหนึ่งโพล่งขึ้น
“อ้าว...ทำไมพี่พูดอย่างนั้นล่ะ นั่นก็คนไทยเหมือนกันนะ” ช่างของจักรกฤษณ์สวนทันควันด้วยน้ำเสียงกระด้าง
“แล้วไม่จริงหรือไงล่ะ ไม่กี่เดือนก่อนก็ปล้นปืนไปทีนึงแล้ว ตอนนี้ยังมาเรื่องกรือเซะอีก วุ่นวายฉิบหาย แม่งอยากแบ่งแยกดินแดนกันนัก ก็น่าจะแบ่งให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายอีก” ช่างตัดผมวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ เจ้าของเก้าอี้ตัวถัดจากที่จักรกฤษณ์นั่งอยู่ กล่าวฟันธงอย่างเมามัน

ถึงตอนนี้บรรยากาศอึมครึมแบบแปลกๆ เริ่มปกคลุมไปทั่ว ภายในบริเวณร้านตัดผมเงียบกริบ เหลือเพียงเสียงจากโทรทัศน์แว่วอยู่เป็นฉากหลัง รังสีอำมหิตอันเกิดจากความขัดแย้งภายในใจของช่างตัดผมสองคน แผ่กระจายออกมาโดยรอบจนทุกคนสัมผัสได้ กระทั่งจักรกฤษณ์เองซึ่งไม่ได้สนใจฟังมาตั้งแต่แรกก็ยังสัมผัสได้ มันถูกส่งมายังเขา ผ่านทางแรงกดบนปัตตาเลี่ยนที่เกินพอดีจนรู้สึกเจ็บ

“โอ๊ย!” จักรกฤษณ์สะดุ้งโหยงและอุทานออกมาเบาๆ เมื่อถูกคมปัตตาเลี่ยนบาดหัว

เราควรจะขยายความให้ชัดอีกนิดว่า ในตอนนั้นใจคอของช่างตัดผมวัยหนุ่ม หาได้อยู่กับการงานตรงหน้าของเขาแล้วไม่ แต่มันกลับไพล่คิดไปถึงชะตากรรมอันขมขื่นของพี่น้องชาวไทยในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่ต้องดำรงชีวิตอยู่อย่างหวาดผวาท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งกำลังลุกโชนเป็นไฟ เขาคิดถึงป๊ะกับมะ และน้องสาวที่นราธิวาส...เมื่อผสมรวมกับโทสะจริตที่เริ่มก่อตัวขึ้น เพราะคำพูดแบบไม่ยั้งคิดของเพื่อนร่วมอาชีพ การเคลื่อนที่ของปัตตาเลี่ยนในมือเขา จึงเป็นไปด้วยความเคยชินมากกว่าจะเคลื่อนไปอย่างมีเป้าหมายชัดเจน นับเป็นความบกพร่องโดยสุจริตแท้ๆ เชียว...ปัตตาเลี่ยนเริ่มไถจากกึ่งกลางท้ายทอยของจักรกฤษณ์ไปสู่ด้านหน้า ครั้งที่หนึ่ง...ครั้งที่สอง...และในครั้งที่สามนี่เอง ที่มันสะดุดเข้ากับเม็ดสิวบนหัวซึ่งนูนขึ้นมา

“ขอโทษครับพี่...เป็นอะไรมากไหมครับ” ช่างหนุ่มรีบขออภัยในทันที “มะ...มะ...ไม่เป็นไรครับ” จักรกฤษณ์กัดฟันตอบไปทั้งที่รู้สึกเจ็บแปล๊บบนหัว

ด้วยเหตุนี้ ความรู้สึกโกรธในใจของช่างตัดผมวัยหนุ่มจึงโหมกระพือขึ้นอีกครั้ง เราอาจกล่าวได้ว่า เพราะโทสะจริตที่บดบังแสงสว่างแห่งปัญญา ทำให้เขาหลงผิดคิดโทษไปว่า เป็นเพราะคำพูดสามหาวของเพื่อนร่วมอาชีพนั่นแล คือต้นเหตุทำให้เขาต้องบกพร่องในหน้าที่ สมองจึงสั่งการด้วยความไวแสง ประมวลผลส่งชุดคำพูดออกมาโต้ตอบในพลัน

“ก็เพราะคิดกันได้แค่นี้ไง้ แผ่นดินมันถึงได้ร้อนเป็นไฟ...มีอย่างที่ไหน...สะใจในความตายของคนไทยด้วยกันเอง” น้ำเสียงของเขาเย้ยหยันยิ่งกว่าคำพูด
“ทำไม...กูคิดได้แค่นี้แล้วมันทำไม...โถ...ใครมันจะไปฉลาดอย่างมึงวะ...ถ้าเก่งจริงมึงคงไม่มาเป็นช่างตัดผมอย่างกูหรอก...ฮะ ฮะ ฮะ” อีกฝ่ายยังไม่ยอมลดละ

วินาทีที่ช่างตัดผมวัยหนุ่มกำลังจะอ้าปากกล่าวตอบโต้นั่นเอง เสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นแทรกการปะทะคารมระหว่างเขาทั้งสอง มันเป็นเสียงร้องในเพลงประกอบภาพยนตร์โฆษณาเรื่องหนึ่ง เป็นเสียงซึ่งเคยคุ้นหูของคุณและคนไทยอีกกว่าหกสิบล้านคนเป็นอย่างยิ่ง...“คนไทยรึเปล่า...า...า...า” * (แล้วเสียงเพลงในโทนสนุกสดใส ก็ตามมาประกอบเป็นฉากหลัง)

“ฮะ ฮะ ฮะ...จริงด้วย...เฮ้ย! มึงอ่ะ...คนไทยรึเปล่า...า...า...า...วะ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ช่างวัยกลางคนระเบิดเสียงหัวเราะใส่ช่างตัดผมวัยหนุ่มอย่างสะใจ
“เออใช่...กูลืมไป...มึงเป็นแขกนี่หว่า...ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เมื่อได้ทีเขาจึงขี่แพะไล่อีกครั้ง

แล้วทำนบความโกรธในใจของช่างตัดผมวัยหนุ่ม ซึ่งบัดนี้ได้พัฒนาจนกลายเป็นความเกลียดไปแล้วนั้น ก็พังทลายลงในบัดดล...เขาผรุสวาทออกมาอีกเพียงสองคำว่า “เหี้ยเอ๊ย!” ก่อนจะกระโจนเข้าใส่ช่างตัดผมวัยกลางคนคู่กรณีอย่างไม่คิดชีวิต แล้วความโกลาหลภายในร้านตัดผมเล็กๆ ริมถนนสายหนึ่งก็เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนั้น...

เราอาจกล่าวได้ว่า เพราะเหตุฉะนั้น จึงทำให้จักรกฤษณ์ต้องมาเดินจมูกบานพะเยิบพะยาบด้วยความโกรธ กับทรงผมซึ่งดึงดูดสายตาทุกคู่ให้มารวมอยู่ที่ตัวเขา อย่างในขณะนี้นั่นเอง และเราอาจฟันธงไปเลยก็ได้ว่า แอ๊ด คาราบาว หาได้มีส่วนรู้เห็นในการก่อความไม่สงบขึ้น ภายในร้านตัดผมเล็กๆ ร้านนั้นแต่อย่างใด...
เป็นเรื่องน่าเห็นใจจักรกฤษณ์อยู่ไม่น้อยทีเดียว...ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยฝักใฝ่เรื่องการเมืองแต่อย่างใด ไม่นิยมพรรคการเมืองไหนเป็นพิเศษ ไม่สนใจติดตามข่าวสารการเมืองเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังแทบไม่เคยออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ส.ส.คนไหนจะสอบได้หรือสอบตก รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยคนล่าสุดชื่ออะไร โผแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่...อย่าไปเสียเวลาถามคนอย่างจักรกฤษณ์เลย เขาไม่รู้หรอก...ปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้จะเป็นเพราะสาเหตุใด กลุ่มแบ่งแยกดินแดน ผู้มีอิทธิพล พ่อค้ายาเสพติด หรือขบวนการลับใดๆ จะมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์เหล่านั้นหรือไม่...อย่าไปเสียเวลาถามคนอย่างจักรกฤษณ์เลย เขาไม่รู้หรอก...ทั้งๆ ที่พิจารณาจากข้อเท็จจริงเหล่านี้แล้ว จุดยืนทางความคิดของเขาค่อนข้างจะชัดเจน เราอาจกล่าวได้ว่า จักรกฤษณ์ไม่นิยมข้องแวะกับเรื่องการเมือง ไม่สนใจในเรื่องอำนาจและการเคลื่อนที่ของมัน หรือเราอาจฟันธงไปเลยก็ได้ว่าจักรกฤษณ์ไม่ใช่ “มนุษย์การเมือง” แต่กลับต้องมาซวยเพราะเรื่องที่ตัวเขาเองไม่เคยใส่ใจ...

บางที อาจเป็นเพราะเวรกรรมตามมาลงทัณฑ์เขา โทษฐานบกพร่องในหน้าที่พลเมืองดีซึ่งควรจะไปเลือกตั้ง เพื่อช่วยกันทำนุบำรุงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป...หรือหากมองจากอีกมุมหนึ่งเราอาจกล่าวได้ว่า กรณีศึกษาเรื่อง “โศกนาฏกรรมอันไร้สาระของจักรกฤษณ์” เป็นหลักฐานชั้นดีที่จะใช้ยืนยันคำพูดที่ว่า “การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน” นั้นเป็นจริง เพราะไม่ว่าเราจะพยายามหลีกหนีเรื่องการเมือง โดยซ่อนตัวอยู่ที่ส่วนไหนของโลกก็ตาม แต่การเมืองก็จะสะกดรอยตามเราไปทุกย่างก้าวจนถึงปลายตีนเตียง ก่อนจะสะกิดให้เราตกใจตื่นเล่น เหมือนที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับจักรกฤษณ์...

เป็นเรื่องยากพอๆ กับการพยายามอธิบาย ถึงสาเหตุของปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้เลยทีเดียว หากเราจะกล่าวถึงสิ่งที่ดลบันดาลให้จักรกฤษณ์หวนนึกไปถึงคำพูดประโยคนั้น เพราะมันอาจต้องอาศัยองค์ความรู้ตั้งแต่ปรัชญาแบบองค์รวม ไปจนถึงเรื่องทางไสยศาสตร์โน่นเลย เราจึงควรละเรื่องนี้ไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน...เอาเป็นว่าขณะกำลังเดินจมูกบานด้วยความโกรธอยู่นั้นเอง จักรกฤษณ์ก็พลันหวนนึกไปถึงคำพูดของใครคนหนึ่ง ซึ่งเขาเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ เล่มหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ใครคนนั้นที่จนปัจจุบันนี้จักรกฤษณ์ก็ยังคงนึกชื่อของเขาไม่ออก ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า...

“ปัญหาใหญ่ๆ ของโลกคือปัญหาแบ่งแยกมนุษย์ออกจากกัน และจะไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังลงได้เลย หากมนุษย์ไม่หวนกลับมาสำรวจรอยแยกในจิตใจของตนเองเสียก่อน”*

จักรกฤษณ์ถึงกับยิ้มให้ตัวเองอย่างขวยเขิน เมื่อจับได้ไล่ทันความคิดอ่านของตนเอง

ใช่แล้ว... มันเป็นรอยแยกกลางหัวใจคน...
ที่ยังคงทุเรศทุรัง.

.................................................

* เหตุการณ์ความรุนแรงที่มัสยิดกรือเซะ หมายถึง เช้าตรู่วันที่ 28 เม.ย. 2547 กลุ่มคนร้ายได้ใช้มัสยิดกรือเซะเป็นที่มั่นทำการยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่กว่าเก้าชั่วโมงซึ่งในภายหลังเสียชีวิตทั้งหมดรวม 32 คน
* ชะโดตีแปลง หมายถึง หัวล้านที่เป็นวงกลมกลางกบาล มีผมโดยรอบทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง เหมือนปลาชะโดตีแปลงจนน้ำกระเซ็นออกไปรอบทิศ หากน้ำน้อยจนเกือบเป็นโคลนตม เวลาชะโดตีแปลงก็จะมีส่วนน้ำขังเป็นวงกลม ล้านแบบนี้จึงต้องมองจากด้านบนจึงจะเห็นชัดเจน
* No Man’s Land หมายถึง ที่ระหว่างแนวทหารสองข้างซึ่งกำลังประชิดกันอยู่ หรือแผ่นดินส่วนที่ไม่มีประเทศใดครอบครอง(รอยต่อ)
* Human Interest หมายถึง ข่าวสารในเชิงปริมาณที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วไป เช่น โศกนาฏกรรม ดาราถูกจับเพราะค้ายาบ้า
* พรีเมียร์ลีก หมายถึง ลีกฟุตบอลชั้นสูงสุดของประเทศอังกฤษ
* เสียงร้องของแอ๊ด คาราบาว ในเพลงประกอบภาพยนตร์โฆษณาเรื่องหนึ่งของเบียร์ยี่ห้อ “ช้าง” ซึ่งออกอากาศเป็นประจำทางโทรทัศน์ทุกช่อง ระหว่างปี พ.ศ.2547-2548
* ธีรยุทธ บุญมี ในหนังสือ “สายไปเสียแล้ว”
(ภาพ : lexusman ที่มา : กระทู้หนึ่งในเว็บบอร์ดพันธ์ทิพย์-21 พ.ย. 47 16:45:01)

All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak