ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

Chartvut Bunyarak, a man who fall in love with short story.

วันจันทร์, ธันวาคม ๑๘, ๒๕๔๙

บทกวี:เมื่อเขาหายไปจากโลกใบหนึ่ง

และแล้วสะพานก็ขาดลงอีกครั้ง...
สะพานขาดลงอีกครั้ง...
อีกครั้ง...
เมื่อเขาหายไปจากโลกใบหนึ่ง
“โลกใบเล็กของซัลมาน”
เหลือเพียงตำนานให้กล่าวขวัญถึง
ให้กล่าวขวัญถึง
ให้กล่าวขวัญถึง!

เช้าวันนั้น มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น...บนถนนโคลีเซียม*
เมื่อแมวแห่งบูเก๊ะกรือซอสบตากับแม่มดแห่งหุบเขา
น้ำหยดหนึ่งได้ร่วงลงกลางใจ
กังวาลสะท้อนก้องไกลจนถึงบ้านเกิด
ผีอยู่ในบ้านและแพะในกุโบร์ต่างร่วมไว้อาลัย
เสี้ยววินาทีนั้น กระทั่งน้ำตกยังหยุดไหล!
เมื่อเขาจากไปในเช้าวันหนึ่ง
เขา...
นักเขียนเพื่อชีวิตคนสุดท้าย...?

...........................................

อาลัยแด่การจากไปของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์
13 กุมภาพันธ์ 2549
ชาติวุฒิ บุณยรักษ์

** ภาพประกอบจากเว็บไซด์ http://www.nesac.go.th/kms/lib_board/view.php?topic=41
* ตัวอักษรเอียงทั้งหมดมาจากชื่อเรื่องสั้นของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ในหนังสือรวมเรื่องสั้นรางวัลซีไรท์ ปี 2539 “แผ่นดินอื่น”
ยกเว้น “สะพานขาด” กับ “โลกใบเล็กของซัลมาน” ซึ่งเป็นชื่อเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลช่อการะเกดในปี 2532 และ 2533 ตามลำดับ



All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

เรื่องสั้น:รีบ

รีบ !


รีบตื่นแต่เช้ามืด – รีบตื่นแต่เช้ามืด, รีบเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน – รีบเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน, รีบอาบน้ำ – รีบทำอาหารเช้า, รีบแต่งตัว – รีบอาบน้ำ, รีบอ่านหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับ ยุคข้อมูลข่าวสารรู้มากเป็นต่อ – รีบแต่งตัว แต่งหน้า ดูดีไว้ก่อนได้เปรียบ, รีบกิน – รีบกิน, รีบขับรถไปทำงาน – รีบขับรถไปทำงาน, รีบปาดหน้า รีบแซงซ้ายแซงขวา ขับรถในเมืองใหญ่ต้องชิงไหวชิงพริบ – รีบปาดหน้า รีบแซงซ้ายแซงขวา ขับรถในเมืองใหญ่ต้องชิงไหวชิงพริบ, รีบจอดรถ – รีบจอดรถ, รีบวิ่งไปตอกบัตรให้ทันเวลา – รีบวิ่งไปตอกบัตรให้ทันเวลา, รีบเข้าห้องน้ำ สูบบุหรี่ โม้กับเพื่อน – รีบเข้าห้องน้ำ โบ๊ะหน้า จับกลุ่มเม้าท์เพื่อนร่วมงาน, รีบทำงาน Low Budget – รีบทำงาน Maximum Profit, รีบตามคำสั่ง เลียเอาไว้ เดี๋ยวได้ดีเอง – รีบตามคำสั่ง โชว์ผลงาน ทำดีเอาหน้าไว้ก่อน, รีบถอดหัวใจ – รีบใส่หน้ากาก, รีบแทงข้างหลังเมื่อมีโอกาส – รีบเหยียบหลังกันขึ้นไป, รีบกินข้าวเที่ยง รีบกลับออฟฟิศ แอบใช้คอมพิวเตอร์แชตกับสาวแปลกหน้า ต้องทำเวลาจะบ่ายโมงแล้ว – รีบกินข้าวเที่ยง รีบเดินช็อปปิ้ง กระเป๋าสะพายรุ่นใหม่ยี่ห้อดังสักใบ ของปลอมก็ได้ ถูกดี ไว้อวดเพื่อนร่วมงาน, รีบทำงานต่อ Maximum Profit – รีบทำงานต่อ Customer is the King, รีบทำงาน – รีบทำงาน, รีบแข่งขัน – รีบแข่งขัน, รีบหาลูกค้า รีบกดปุ่ม รีบพูดรีบคุย รีบโน้มน้าว – รีบหาลูกค้า รีบโทรศัพท์ รีบพูดรีบคุย รีบปิดการขาย, รีบหาลูกค้า รีบปิดการขาย รีบทำกำไรสูงสุด – รีบหาลูกค้า รีบปิดการขาย รีบทำกำไรสูงสุด, รีบตอกบัตร – รีบตอกบัตร, รีบขับรถกลับบ้าน – รีบขับรถกลับบ้าน, รีบปาดหน้า รีบแซงซ้ายแซงขวา ขับรถในเมืองใหญ่ต้องชิงไหวชิงพริบ – รีบปาดหน้า รีบแซงซ้ายแซงขวา ขับรถในเมืองใหญ่ต้องชิงไหวชิงพริบ, รีบรดน้ำต้นไม้ – รีบทำกับข้าว, รีบอาบน้ำ – รีบอาบน้ำ, รีบกิน – รีบกิน, รีบแปรงฟัน – รีบแปรงฟัน, รีบขึ้นเตียง – รีบขึ้นเตียง, รีบเล้าโลม – รีบเล้าโลม, รีบถึงจุดสุดยอด – รีบถึงจุดสุดยอด, รีบเข้าห้องน้ำ – รีบเข้าห้องน้ำ, รีบเข้านอน – รีบเข้านอน..........รีบตื่นแต่เช้ามืด – รีบตื่นแต่เช้ามืด, รีบ – รีบ, รีบ – รีบ, รีบ – รีบ, รีบ – รีบ, ...................................รีบกิน – รีบขี้ – รีบ__ – รีบนอน – รีบทำกำไรสูงสุด !



………………………………..

* ภาพประกอบจากเว็บไซด์ http://thomashawk.com/2004_08_01_archive.html



All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

ความเรียงเกี่ยวกับภาพยนต์:Cinderella Man


Cinderella Man-หลังฉากชีวิตวีรบุรุษ...


“ชีวิตนี้ดีแน่ แต่ต้องสู้ชีวิต!” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่จู่ๆ วลียอดนิยมนี้ ก็ผุดขึ้นในกระแสการรับรู้ของผม หลังจากชมภาพยนตร์เรื่อง ซินเดอเรลล่า แมน:วีรบุรุษสังเวียนเกียรติยศ จบ...นั่นเป็นสโลแกนของเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งเป็นสปอนเซอร์ในรายการของคุณ คำรณ หว่างหวังศรี-ผู้สื่อข่าวที่เราต่างก็คุ้นหน้ากันดีจากจอโทรทัศน์
มีความเป็นไปได้ประการหนึ่งว่า วลีดังกล่าวนั้นเกี่ยวพันอย่างยิ่งยวดกับคำโปรยปกหน้า บนกล่องวีซีดี...Based On The Extraordinary True Story
*...ใช่หรือไม่ว่าบางที ชีวิตของคนบางคนมันช่างเข้มข้น แร้นแค้นแสนสาหัสยิ่งไปกว่าชะตากรรมของตัวละคร ในนิยายน้ำเน่าที่เราเคยดูเสียอีก...เจมส์ เจ. แบรดด็อก หรือ จิม แบรดด็อก-อดีตนักมวยแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวต (1935-1937) ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ในประวัติศาสตร์วงการหมัดมวย คงไม่มีเรื่องราวชีวิตใดน่าทึ่งยิ่งไปกว่า
เรื่องของ เจมส์ เจ. แบรดด็อก”
- เดมอน รันยอน
นั่นเป็นส่วนแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้...
Cinderella เป็นเรื่องราวของสาวสามัญชนคนหนึ่ง ที่ชีวิตเต็มไปด้วยบททดสอบมากมาย แต่ท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยดีกับเจ้าชายรูปงาม...ไม่ต่างไปจากชีวิตจริงของแบรดด็อก และนั่นเองจึงเป็นที่มาของฉายานาม ที่สื่อต่างก็พร้อมใจกันเรียกขานเขาด้วยคำๆ นี้ “Cinderella Man”
หนังเล่าย้อนไปในต้นทศวรรษ 1930s ช่วงที่อเมริกาประสบกับสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นล้มละลาย ผู้คนมากมายต่างพากันตกงานมากที่สุดจนเป็นประวัติการณ์ เช่นเดียวกับแบรดด็อก ก่อนหน้าจะตกต่ำถึงขั้นไปเป็นกรรมกรท่าเรือนั้น จิมเคยเป็นนักมวยดาวรุ่งพุ่งแรง ค่าตัวแพงมาแล้ว แต่ด้วยความบาดเจ็บทางกาย (มือหักครั้งแล้วครั้งเล่า) อันเป็นราคาที่จำต้องจ่ายเมื่อเลือกจะยืนอยู่บนสังเวียนผ้าใบ ทำให้อนาคตในวงการหมัดมวยของเขาตกต่ำลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นเคยโดนผู้ชมโห่ไล่ลงจากเวที กับโดนป๊อปคอร์นเขวี้ยงหัวมาแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาและครอบครัวตกต่ำจนถึงขั้นโดนตัดน้ำตัดไฟ ลูกๆ ไม่มีอะไรจะกิน หนี้สินก็ล้นพ้นบานตะไท แต่จิมก็ยังสู้!
คล้ายๆ กันกับบรรดาผู้คนที่กลายเป็นตำนานคนอื่นๆ ซึ่ง “นักสู้” เหล่านั้น ล้วนแต่เคยผ่านช่วงชีวิตอันเลวร้าย ดิ่งลงสู่ก้นเหวที่ดูเหมือนจะไร้จุดสิ้นสุด ด้วยกันทั้งนั้น...แต่อย่างที่ใครบางคนเคยกล่าวไว้ ไม่ว่าเรื่องที่เรากำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าจะเลวร้ายสักแค่ไหน แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ สักวันหนึ่งเรื่องร้ายๆ นั้นก็จะผ่านพ้นไป...สวรรค์มีตา ฟ้าย่อมให้โอกาสคนดีเสมอ...วันหนึ่งโชคก็เข้าข้างนักสู้อย่างจิมอีกครั้ง แต่อย่างว่า...ทุกอย่างในชีวิตย่อมไม่ง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากไปเสียทั้งหมด เมื่อคู่ต่อสู้ในครั้งนี้ของจิม คือแชมป์โลกผู้เคยสังหารคู่ชกตายคาเวทีมาแล้วถึงสองราย!
Cinderella Man เป็นหนังดราม่าที่ดี แม้จะเป็นสูตรสำเร็จ (สำหรับหนังล่ารางวัล) ไปบ้างก็ตาม ใครที่กำลังรู้สึกแย่ๆ หรือเคยคิดว่าชีวิตของตัวเองแย่แล้ว ลองหาหนังเรื่องนี้มาดู คุณอาจจะซึ้งถึงคำพูดที่ว่า Life is Beautiful นั้นเป็นอย่างไร อีกทั้งกำลังใจสำหรับต่อสู้เรื่องร้ายๆ ในชีวิตของคุณอาจจะลุกโชนฮึกเหิมขึ้นมาทันทีทันใดก็เป็นได้...
ด้วยบทที่เข้มข้นเหลือคณากับภาพสวยๆ ที่ยังคงเส้นคงวาในแบบเดิม พิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นได้เป็นอย่างดีถึงมาตรฐานของผู้กำกับที่ชื่อ รอน โฮเวิร์ด (A Beautiful Mind, Far and Away, The Missing และ Apollo 13)
ด้านคุณภาพของการแสดงนั้นก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เรเน่ เซลวีเกอร์ เข้าถึงบทบาทของช้างเท้าหลัง ผู้เป็นกองหนุนสำคัญของเหล่าฮีโร่ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี ยิ่งฝีไม้ลายมือของดาราออส
การ์อย่าง รัสเซล โครว์ คงไม่ต้องพูดถึง ฉากขอทานเรี่ยไรเงินจากทั้งหมู่มิตรและคนแปลกหน้า เพื่อนำไปจ่ายค่าแก๊สซึ่งค้างมานานหลายเดือนนั้น อาจทำให้ใครต่อใครต้องเสียน้ำตาเหมือนผมได้ไม่ยาก
และที่อยากจะให้จับตากันเป็นพิเศษก็คือ พอล จิอาแม็ตตี้ ผู้สวมบทเป็นทั้งโค้ชและโปรโมเตอร์ในคนเดียวกัน ชื่อของดาราหนุ่มใหญ่วัยกลางคนคนนี้ อาจจะไม่คุ้นหูคอหนังในบ้านเรานัก เหตุที่ไม่ได้สูงชะลูดตูดปอดยอดขุนพล อีกทั้งหน้าตาก็มิได้หล่อเหลาคมคายอย่างเป็นที่นิยมกัน หนำซ้ำหัวก็เถิกอีกตะหาก แต่เรื่องฝีมือในการแสดงนั้น ยากจะกังขาด้วยประการทั้งปวง เหตุนี้ เราจึงได้เห็นเขาโผล่หน้าอยู่บ่อยๆ ในหนังหลายเรื่องของหลากผู้กำกับยอดฝีมือ ดูอย่าง Sideway ของ อเล็กซานเดอร์ เพย์น (Citizen Ruth, Election และ About Schmidt) นั่นกระไร
วินาทีที่พลิกไปดูด้านหลังกล่องวีซีดี...ความยาว 144 นาที...ผมจึงได้รู้ว่าอัตชีวประวัติกว่าสองชั่วโมงครึ่งเรื่องนี้สนุกแค่ไหน!

.....................................

อ้างอิงข้อมูลจาก
http://www.jamesjbraddock.com/
* สร้างจากเรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยาย (ผู้เขียน)



All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

วันศุกร์, ธันวาคม ๐๘, ๒๕๔๙

บทกวี:Me…or not?


Me…or not?


‘Big Brother’ is God
‘Taksin Shinawat’ is Good
(Chorus: Yeah…Yeah…God is Good!)
My lover never like my Food
Who will know what’s the Truth?
How many die under their Boots!
And I never know where is my Root?
(Chorus: God, Good, Food, Truth, Boot, Root!)

One of Chorus asks: Hey! , Nobody answers the phone!
Me: Don’t worry, Maybe the Pope in Rome…

I’m really wanna see you, Nude!
My favorite food is Goose
Anybody know…where’s Robin Hood?
(Chorus: Nude, Goose, Hood…and what’s next?)

Taksin-get out! Taksin-get out!
Taksin…(Chorus reacts!)… Taksin…(Chorus reacts!)…

Now, you should give me some Mood
’Cause I don’t wanna be a loose…ser!


……………………..
** เผยแพร่ครั้งแรกในงานอ่านบทกวีสด สถาบันbritish council ร่วมกับกวีสาว Francesca Beard
ภาพประกอบจากเว็บไซด์ : http://www.contactmusic.com/new/xmlfeed.nsf/mndwebpages/cowells%20opera%20group%20debut%20at%20the%20top%20of%20us%20charts_02_02_2006

All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม ๐๗, ๒๕๔๙

เรื่องสั้น:คนไร้ราก

คนไร้ราก

นั่นพวกเขากำลังจับกลุ่มมุงดูอะไรกันอยู่ล่ะ ดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังไม่หลับไม่นอนกันอีก เธอก็ไม่รู้เหรอ งั้นฉันว่าเราเดินไปดูกันดีกว่า…..อ้าว ! นั่นฉันนี่ แล้วฉันลงไปนอนจมกองเลือดอยู่อย่างนั้นได้ยังไง
เอ…แต่จะว่าไป มันก็เป็นภาพที่สวยดีเหมือนกันนะ ฉันชอบรอยหยักยึกยือไร้ระเบียบสีแดงเข้มนั่นจัง ดูได้องค์ประกอบศิลป์ดี…เธอเคยมองดูศพตัวเองไหม…น่าเสียดายนะ….. เธออยากรู้จริงๆ น่ะเหรอ…มานั่งตรงนี้สิ…ฉันจะเล่าให้ฟัง
1
มันเป็นยามบ่ายของวันที่ร้อนมากวันหนึ่ง ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำใต้ตึก 5 ของมหา’ลัย นัก
ศึกษาเดินเกาะกันเป็นกลุ่มใหญ่ผ่านหน้าฉันไปหลายกลุ่มแล้ว บ้างก็มาเป็นคู่เดินจูงมือกันไป บ้างก็เดินผ่านมาแต่เพียงลำพัง บรรยากาศโดยรอบดูอึกทึกเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกัน แต่แล้วจู่ๆ ความรู้สึกแบบเดิมๆ ที่เคยเกาะกินดวงวิญญาณของฉันตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน ก็เริ่มก่อตัวขึ้นอีกอย่างเงียบๆ แบบไม่มีเหตุผล หรืออาจจะมีแต่ฉันไม่รู้ หรือว่ารู้ เพียงแต่ตัวฉันเอง…ไม่ยอมรับมันเท่านั้น
พักหลังนี้ มันหมั่นมาเยี่ยมเยียนฉันบ่อยขึ้นและบ่อยขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งมันจะเลือกแวะ
เวียนมาหาในยามที่ฉันอยู่คนเดียวสงัดเงียบ แต่บางครั้งมันก็จะมาหา แม้ฉันจะอยู่ท่ามกลางกลุ่มอ้างอิงทางสังคมมากมายอย่างเช่นในวันนี้ ฉันเคยพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกำจัดมันออกไป ด้วยทางออกในหลายๆ วิธี เท่าที่สมองของฉันพอจะคิดได้ ทั้งการอ่านหนังสือซึ่งฉันคิดว่าน่าจะช่วยฉันได้ หนังสือหลายสิบเล่มทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี งานแปลหลากหลายประเภท ทั้งบทกวี กลอนเปล่า หนังสือปรัชญา หรือแม้กระทั่งหนังสือธรรมะ ได้ผ่านสายตาของฉันไปเล่มแล้วเล่มเล่า แต่มันก็ไม่สามารถช่วยอะไรฉันได้เลย…
บ่อยครั้งที่ฉันพยายามหลีกหนีโลกแห่งความเป็นจริง โดยหมกตัวเองอยู่กับโลกความจริง
เสมือนบนจอภาพยนตร์ เพื่อที่จะลืมเลือนความรู้สึกนี้…ความรู้สึกที่นำมาซึ่งคำถามมากมายที่ฉันไม่สามารถตอบได้ แต่ภาพฝันเรื่องแล้วเรื่องเล่า ก็ไม่เคยช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลยในความเป็นจริง… มันยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนฉันอย่างสม่ำเสมอ เฉกเช่นผองกัลยาณมิตรอันแสนดี มาเยือนสหายผู้รู้ใจยามป่วยไข้ ต่างกันตรงที่คราวนี้ฉันไม่เคยเต็มใจและเชื้อเชิญอยาก... และสิ่งที่มันนำติดมาด้วยก็หาใช่ดอกไม้สีสันสวยงาม ที่จะช่วยให้จิตใจอันแห้งเหี่ยวแล้งไร้ของคนป่วย สดชื่นขึ้นมาก็หาไม่ แต่กลับเป็นความเหงา โดดเดี่ยวและสับสน ที่มันไม่เคยลืมติดมือมาในทุกครั้งที่แวะเวียน
ก่อนที่ฉันจะกลายเป็นคนที่เหงาหงอย เซื่องซึม และดูเหมือนคนที่ไร้วิญญาณในวันนี้ ฉันพยายามแล้วพยายามอีก ในการที่จะหาคำตอบกับตัวเองให้ได้ว่า ความรู้สึกนี้คืออะไร ความรู้สึกแปลกแยกต่อตัวเอง ต่อชีวิต ต่อโลกอย่างนั้นหรือ ? แล้วมันมาจากไหน มันต้องการอะไรจากฉันกันแน่ แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผล… ฉันไม่เคยพบคำตอบใดที่จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง หรือว่าคำตอบเหล่านี้จะอยู่ในดินแดนของพระเจ้า ดินแดนที่อยู่ห่างออกไปไกลโพ้น ไกลเกินไปกว่าที่มนุษย์ตัวเล็กกระจิดริดอย่างฉันจะไขว่คว้าเอื้อมถึง หรือว่าสมองของมนุษย์เป็นอวัยวะที่ถูกสาปจากพระเจ้า…ฉันรู้สึกได้เพียงว่าขอบเขตของมัน ช่างดูลึกลับและห่างไกล เหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด ในทุกๆ ครั้งที่มันกลับมาเยี่ยมเยือนฉันอีก ฉันทุกข์ทรมาน…เหมือนถูกพระเจ้าถีบตกจากเรือโนอาห์ ปล่อยให้ล่องลอยอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางความมืดมิดของมหาสมุทรอันลี้ลับและกว้างใหญ่ไพศาล ไร้ซึ่งสิ่งยึดเหนี่ยวใดๆ…ฉันจะรู้สึกเหมือนอย่างเคย...อย่างเดิม…ฉันอยากจะยุติการเดินทางในหัวสมอง…ฉันอยากตาย.

2
สายลมยามดึกยังคงพัดมาเรื่อยๆ เอื่อยๆ ดูนุ่มนวลสม่ำเสมอ แต่บางคราวก็ไร้ระเบียบ... ดั่งมีใครสักคนที่ไม่รู้จัก คอยถือพัดอันใหญ่โบกวีสายลมร้อนและเย็นสู่ผืนโลก คืนลมหายใจให้กับทุกสรรพชีวิตได้โลดแล่นต่อไป จังหวะที่เคลื่อนไหวผันแปรไปตามอารมณ์...บ้างสะบัดโบกดุดัน ก่อเป็นคลื่นลมมหึมาพัดพาเอาทุกสิ่งที่ขวางหน้า อย่างกับต้องการบดขยี้ทุกอย่างให้ราพณาสูรไปในชั่วพริบตา ไร้ปราณี...บ้างบางเบาดั่งเช่นในคืนนี้ ธรรมชาติยังคงลี้ลับและยากจะเข้าใจอยู่เสมอ…
มันพัดพาเอาความเย็นมาปะทะผิวกาย พอให้ได้รู้สึกถึงความเหน็บหนาวและว้าเหว่ ประ
กอบกับบรรยากาศอันสงัดเงียบยามวิกาลเช่นนี้แล้ว ช่างเหมาะเสียเหลือเกินกับการนั่งเงียบๆ คนเดียวเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆ ค้นหาคำตอบที่อาจจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในเบื้องลึกของจิตใต้สำนึก ฉันลากเก้าอี้ออกมานั่งอยู่ริมระเบียงของห้องพัก ไม่ลืมที่จะหนีบขวดเหล้าติดมาด้วย
ความรู้สึกสับสนเมื่อยามบ่ายของหลายวันก่อน ถูกขุดค้นขึ้นอีกครั้ง สำหรับในครั้งนี้ฉันพยายามมากกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา กับการทำความเข้าใจความรู้สึกของตนเอง ฉันเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามกับตัวเองก่อน ทำไมบ่ายวันนั้นฉันถึงรู้สึกว่าอยากตาย เพราะฉันรู้สึกไม่เป็นสุขกับสภาวะที่เป็นอยู่อย่างนั้นหรือ...ฉันเบื่อ ฉันเหงา โดดเดี่ยว อ้างว้าง แปลกแยก และรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า…ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก ไม่มีใครต้องการฉันเลย พ่อก็สนใจแต่แม่เลี้ยงฉัน เวลาทะเลาะกัน พ่อก็จะเข้าข้างเขาทุกครั้งไป ฉันต้องกลายเป็นคนผิด รอรับคำพิพากษาและโทษทัณฑ์ในความผิดที่ฉันไม่ได้เป็นผู้ก่อ มีพ่อ แม่ ลูก รวมกันเป็นครอบครัว แต่ฉันไม่ใช่ รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ฉันหลบออกมาอยู่คนเดียวข้างนอก พ่อก็ไม่สนใจ
ฉันจำไม่ได้แล้วว่าพ่อกอดฉันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ฉันกลับจำภาพที่พ่อเอาปืนจ่อหัวฉันตอนที่เราทะเลาะกันได้ดี… ภาพที่พ่อโยนเงินค่าขนมให้ฉันเมื่อหลายปีก่อน ธนบัตรสีม่วงค่อยๆ ปลิวคว้าง หมุนวนลงมาช้าๆ ตกอยู่ที่ปลายเท้า ฉันยืนนิ่งมองดูมันอยู่นานกว่าจะก้มลงหยิบใส่กระเป๋า… ภาพที่ฉันนั่งกระดกเหล้าเพียวอยู่คนเดียวทั้งวันที่หลังห้องน้ำภารโรง ฉันแอบอยู่ที่นั่นตั้งแต่เช้าถึงเย็น ก็เงินที่พ่อให้มานั่นแหละ…ฉันเกลียดพ่อ…แต่ฉันก็รักพ่อ…เพราะฉันไม่มีใครให้รักได้อีกแล้ว…แม่น่ะเหรอ ฉันแทบไม่เคยมีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับแม่ในหัวสมองเลย จนกระทั่งอายุยี่สิบสอง อยู่ๆ แม่ก็เดินกลับเข้ามาในชีวิตฉัน แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว มันคงจะไม่มีทางเหมือนเดิมได้ ฉันไม่เคยมีแม่มานานเกินไปจนไม่รู้ว่าการเป็นลูกของแม่เป็นยังไง แม่กอดฉัน ฉันกอดตอบแม่แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันไม่โกรธแม่หรอกที่ทิ้งฉันไป ไม่ได้เกลียดด้วยแต่ฉันก็มั่นใจว่าไม่ได้รักแม่เลย...
เพราะเหตุนี้ใช่ไหมนะ ฉันถึงรู้สึกไม่เคยเชื่อมั่นในความรักของเพศแม่เลย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่เคยรักใครจริง มันเป็นความรู้สึกขัดแยังกัน คล้ายกับมือฉันไขว่คว้าโอบกอดความรักเข้าหาตัว แต่ตีนฉันกลับถีบไสไล่ส่งมันออกไป มันเป็นปมในจิตใจที่ฉันแก้ไม่ออก แต่ฉันก็ไม่อาจต้านทานสัญชาตญาณดิบได้หรอก ฉันเคยมีคนรักมาหลายคนแล้ว แรกๆ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อไหร่ที่ฉันรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามตั้งเงื่อนไขหรือเริ่มเรียกร้องอะไรจากฉัน ฉันก็จะเริ่มไม่เชื่อมั่นในความรักของผู้หญิงคนนั้นทันที ฉันจะหวาดระแวงและสงสัย กลไกป้องกันทางจิตภายในจะเริ่มทำงานของมันทันที มันจะสร้างกำแพงสูงใหญ่แข็งแรงขึ้นมาขวางกั้นระหว่างฉันและคนรัก ทำให้เราเหินห่างกันออกไป แปลกแยกต่อกัน ปราศจากความสามารถที่จะสื่อสารให้เข้าใจกัน ในที่สุด…ก็ต้องเลิกรากันไปคนแล้วคนเล่า
ให้ตายเถอะ เธอรู้ไหมว่าฉันทรมานมากแค่ไหน ที่ไม่สามารถทุบทำลายไอ้กำแพงระยำนี่! บ่อยครั้งเข้ามันทำให้ฉันตั้งคำถามถึงการมีอยู่จริงของความรัก หรือว่าอันที่จริงแล้วความรักไม่เคยมีอยู่กันแน่ ความรักไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงสิ่งที่มนุษย์เราปรุงแต่งขึ้นมาให้ชีวิตอันแห้งเหี่ยวสิ้นหวังดูมีสีสันมีชีวิตชีวา มีความหวังขึ้นมาบ้าง หากแต่ในความจริงแล้วความรักเป็นเพียงกลอุบาย เป็นเงื่อนไขอันซับซ้อนที่ธรรมชาติสร้างมา หลอกล่อมนุษย์เราให้สืบสานดำรงเผ่าพันธุ์ไม่ให้สาบสูญไป หรือความรักเป็นเพียงอาภรณ์ที่ห่อหุ้มเนื้อในแห่งสัญชาตญาณการสืบพันธุ์เท่านั้น…
บางขณะที่ฉันกำลังร่วมรักกับคนรัก เธอรู้ไหมว่าฉันกลับไม่ค่อยเป็นสุขเหมือนอย่างที่คนอื่นเขาเป็นกัน ฉันทำไปอย่างแกนๆ... บางครั้งฉันนึกไปถึงภาพสัตว์กำลังสมสู่กันที่เห็นมาจากโทรทัศน์ ทั้งสิงห์โต เสือ กวาง ช้าง นก หรือกระทั่งหมา ดูๆ ไปมันก็ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่ฉันกำลังปฏิบัติอยู่สักเท่าไหร่นัก ในแง่นี้ฉันจึงมิได้กำลังร่วมรัก หากแต่เป็นกระบวนการของการปลดเปลื้องบางสิ่งบางอย่าง การถ่ายเทของเหลว การปรับระบบชีวเคมีในร่างกายให้กลับสู่ภาวะสมดุลเท่านั้นเอง... ขณะนั้นฉันกลายเป็นเครื่องจักรทางเพศ กระทำตามคำสั่งที่ถูกโปรแกรมมา ไร้หัวใจไร้ความรู้สึก ฉันปฏิบัติต่อคนรักเหมือนเธอเป็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่งเท่านั้น ถึงจุดสุดยอดแล้วก็จบกันไป หรือว่าเซ็กซ์เป็นเพียงมุขตลกของพระเจ้า... เธอเริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างแล้วใช่ไหม...
ส่วนความรักของพ่อแม่ที่ว่ากันว่าเป็นความรักที่สูงส่งประเสริฐที่สุดนั้นเล่า ฉันก็ไม่เห็นว่าจะมีอยู่สักเท่าไหร่กันเชียว ส่วนใหญ่แล้ว หันไปก็เห็นแต่รูปแบบที่แปลงปลอมมาในนามของความรัก In the name of Love กันทั้งนั้น…ความรักที่เต็มไปด้วยเงื่อนไข…ตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่งๆ สอบให้ได้ที่หนึ่งนะลูก พ่อจะรักและภูมิใจในตัวลูกมากเลย…หนูต้องสอบเอนทรานซ์ให้ติดนะลูก อย่าให้แม่ต้องขายขี้หน้าเพื่อนๆ เขาล่ะ ถ้าหนูติดแม่จะซื้อรถให้…ถุย ! ฉันอยากจะอ้วก นี่น่ะหรือความรักบริสุทธิ์ที่เอ่ยอ้างกัน จริงๆ แล้วมันก็แค่รูปแบบหนึ่งของการรักตัวเองเท่านั้นล่ะวะ ฉันก็เห็นแต่ทุกคนอ้างว่า “รัก” กันทั้งนั้น ถ้าสิ่งที่พวกเขาพูดๆ กันมันเป็นจริงแม้เพียงครึ่ง โลกก็คงจะไม่วุ่นวายอย่างทุกวันนี้หรอก... บางครั้งเวลาฉันมองหน้าเพื่อน ทำไมฉันเห็นแต่คำว่าผลประโยชน์ การหลอกใช้ หรือว่าการแลกเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ของมนุษย์ ฉันควรจะยอมรับมันใช่ไหม…
ในที่สุดฉันก็เริ่มกันตัวเองออกจากสังคม หมกมุ่นอยู่กับตัวเองมากขึ้น พักหลังมานี้ฉันมักจะหนีหน้าเพื่อนๆ ไปดื่มคนเดียวที่ร้านไกลๆ ที่ๆ ไม่มีใครรู้จักฉัน...ฉันหลบไปคิดคนเดียว…เธอเริ่มรู้สึกแล้วใช่ไหม…ว่าฉันป่วย ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ ฉันเคยบอกพ่อนะ ว่าฉันอยากไปพบจิตแพทย์ เธอรู้ไหมพ่อว่ายังไง…เขาหัวเราะใส่หน้าฉัน… เธอไม่ดื่มหน่อยเหรอ งั้นฉันขอพักดื่มสักนิดนะ…
ฉันหลบไปคิดอะไรคนเดียวน่ะเหรอ โอย...หลายอย่างเลยล่ะ เมื่อฉันรู้สึกแปลกแยกต่อชีวิต ต่อโลก และแม้กระทั่งต่อตัวฉันเอง ฉันจึงพยายามคิดหาคำตอบต่อคำถามพื้นฐานทางอภิปรัชญาให้กับตัวเอง…คนเราเกิดมาทำไม เพื่ออะไร ทำไมเราจึงเกิดมาบนโลกใบนี้ อะไรคือความหมายแห่งการดำรงอยู่ อะไรคือความหมายของชีวิต พระเจ้ามีตัวตนอยู่จริงไหม ถ้ามี...อะไรคือวัตถุประสงค์ที่ทำให้เขาส่งฉันมาเกิด เจตจำนงเสรีมีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าไม่มีหมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกกำหนดมาแล้วใช่ไหม อย่างนั้นการที่ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ในเมื่อฉันไม่สามารถฝืนโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาแล้วได้เลย มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นกระบอกให้เขาชักเชิด…เท่านั้นน่ะหรือ
ฉันยิ่งคิด ยิ่งค้น...ก็พบแต่ความว่างเปล่า…หรือว่าความว่างเปล่าคือคำตอบ…ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรมากไปกว่า การที่คนเราเกิดมาเพื่อที่จะแก่ เพื่อที่จะเจ็บป่วย และเพื่อที่จะตายไปในวันหนึ่ง…กิน-ขับถ่าย-สืบพันธุ์-นอน... ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ที่เราทำไปในแต่ละวัน สุดท้ายแล้วฉันเห็นว่ามันต่างก็เป็นไปเพื่อสนับสนุนกิจกรรมหลักทั้งสี่อย่างนั้นไม่ทางตรงก็ทางอ้อม…เท่านั้นเอง ไร้ทั้งสาระและแก่นสาร ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ที่รอเราอยู่…
พระเจ้าน่ะเหรอ ฉันไม่รู้หรอกว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า แต่ถ้ามีอยู่จริงล่ะก็ ฉันบอกได้เลยว่าไม่ค่อยชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่ ฉันว่าเขาเป็นโรคจิตยิ่งกว่าฉันเสียอีก ก็เธอลองดูวิธีที่เขาเลือกทรมานมนุษย์สิ มันโหดร้ายทารุณเสียยิ่งกว่า เอาจิตใจอันอำมหิตของฆาตกรต่อเนื่องสักสิบคนมารวมกันเสียอีก…คอยดูเถอะ อย่าให้ฉันมีโอกาสได้เจอนะ…อืมม์ เธอเข้าใจถูกแล้วล่ะ ฉันมันพวกนอกศาสนา แต่ไม่ใช่เพราะฉันคิดว่ามันงมงายหรอกนะ ตรงกันข้ามฉันเชื่อว่าทุกศาสนาส่วนใหญ่ในโลกนี้ ต่างก็มีจุดดีของตัวเอง สอนให้เป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้นแหละ ฉันก็เลยนับถือมันไปหมดทุกศาสนาแต่ไม่ยึดติดนัก เลยบอกไม่ได้ว่าตัวเองศาสนาอะไร อีกอย่างฉันรู้สึกว่าการระบุลงไปว่าฉันนับถืออันนี้ไม่ใช่อันนั้น ยิ่งจะเป็นการแบ่งแยกมนุษย์เราออกจากกันมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ฉันไม่ได้หลับหูหลับตานับถือไปหมดหรอกนะ ฉันเลือกเอาแต่ที่ฉันคิดแล้วเห็นดีด้วยว่าเป็นคำสอนที่มีประโยชน์เท่านั้นแหละ…
เธอคงไม่ปฏิเสธหรอกนะ ว่าบางอย่างมันก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่นัก หรือไม่ก็ล้าสมัยเกินไปแล้ว…ฉันไม่อยากทำตัวเป็นพวกเคร่งศาสนาแต่ปากว่าตาขยิบ แม่งหลับหูหลับตาท่องบทสวดได้เป็นชั่วโมงๆ แต่เสือกไม่เคยเข้าใจความหมาย ไม่เคยเข้าใจหลักที่แท้จริงของคำสอนว่าเขาพูดถึงอะไร มุ่งไปสู่อะไร ศาสนาสอนให้คนมีความรักในหัวใจ มีเมตตาและปรองดองกัน…แต่ทุกวันนี้โลกเรามันเป็นอะไรไปแล้ว…รอยแยกในจิตใจคนแบ่งแยกมนุษย์ออกจากกัน...
เธอเปิดหนังสือพิมพ์ดูสิ ฉันต้องเสียน้ำตาให้กับภาพเด็กชายตัวน้อยที่ค่อยๆ สิ้นใจในอ้อมอกพ่อ เพราะลูกปืน ! ฝ่ายพ่อก็โอบกอดลูกน้อยสุดกำลังด้วยหวังว่าจะใช้กายตนเป็นกำบังรองรับลูกปืนแทน ! เขาคงลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้ใส่ชุดเกราะ ผิวกายตนเองไม่ได้ทำด้วยเหล็กไหล หากแต่เป็นเนื้อนุ่มๆ มีเลือดไหลเวียนอยู่ข้างในเหมือนเธอเหมือนฉัน…เขาตายทั้งคู่…ไม่รู้ใครตายก่อน พ่อตายก่อน หรือลูกตายก่อน...ระยำ…สงครามศาสนา… โถ่เอ๊ย ! ไอ้พวกมนุษย์หน้าโง่ ! มึงบอกว่ารักพระเจ้า แล้วยังเสือกใช้พระเจ้ามาเป็นข้ออ้างในการทำสงคราม พระเจ้าพ่อมึงสิสอนให้คนฆ่าคน ! ส้นตีนเอ๊ย !…กี่สิบกี่ร้อยล้านคนแล้วที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับสงครามศาสนางี่เง่านั่น แล้วยังจะต้องอีกกี่ล้านคนกัน พวกมึงถึงจะพอใจ ไอ้ควาย !
ฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะที่ก้าวร้าวไปหน่อย มันอดไม่ไหวน่ะ…เธอคงเข้าใจนะ เพราะเธอก็อยู่บนโลกใบเดียวกันกับฉันนี่ โลกที่กำลังป่วยไข้ ...สังคมเรากำลังเสื่อมโทรมลงทุกวัน รอวันล่มสลาย ยอดมนุษย์ทั้งหลายคงต้องนัดกันฆ่าตัวตายหมู่ เพราะไม่มีคุณธรรมใดๆ หลงเหลือไว้ให้พิทักษ์แม้แต่ในหน้าหนังสือการ์ตูน…คำว่าจริยธรรมกำลังค่อยๆ เลือนหายไปจากหน้าพจนานุกรม คุณธรรม ศีลธรรม มโนธรรมในจิตใจคนแห้งเหือด ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวัตถุสวนทางกันกับความตกต่ำในจิตใจคน…
ฆ่าข่มขืน – ข่มขืนฆ่า – ฆ่าข่มขืน - ข่มขืนฆ่า…ทุกวัน พ่อข่มขืนลูก – ปู่ข่มขืนหลาน - หลานข่มขืนยาย…พ่อขี้เมาเตะลูกน้อยตายคาตีน…แม่บังเกิดเกล้าบังคับลูกวัยสิบสามแต่งงานใช้หนี้…พ่อส่งลูกสาวขายซ่องเอาเงินมาซื้อทีวี… เราอยู่ในยุคสมัยที่นักศึกษาขายตัวเอาเงินมาซื้อกระเป๋าถืออวดกันเป็นเรื่องธรรมดา…ยุคสมัยที่คนดีกลายพันธุ์เป็นคนเลว คนเลวกลายเป็นโคตรเลว สังคมเต็มไปด้วยความหลอกลวง ความจริงใจกลายเป็นของแสลง ความเห็นแก่ตัวกลายเป็นเรื่องปกติที่ยอมรับได้…การแก่งแย่งแข่งขันเพื่อให้ได้มาโดยไม่คำนึงถึงวิธีการว่าจะชั่วช้าต่ำทรามเพียงใด…อย่าเผลอหันหลังให้นะ - กูจะแทงมึง เผลอเมื่อไหร่ – กูจะเฉือนเนื้อมึงมากิน !
3
เธอเริ่มเข้าใจหรือยังล่ะ ว่าทำไมฉันจึงฆ่าตัวตาย เธอจะให้ฉันทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรบนโลกเฮงซวยใบนี้ ถ้าขืนฉันยังมีชีวิตอยู่ต่อไป…ไม่แน่วันหนึ่งฉันอาจจะกลายพันธุ์ก็ได้ เธอเคยสงสัยเหมือนฉันไหมว่า ทำไมประวัติศาสตร์ของโลกและการวิวัฒนาการไม่เป็นเรื่องของการพัฒนา แต่กลับเป็นจุดจบและกลับไปสู่ความเป็นศูนย์…ครั้งแล้วครั้งเล่า อะไรคืออุปสรรคที่ขวางกั้นผู้คนจากการเข้าถึงระดับขีดความสามารถในการพัฒนาความเป็นปัจเจกชนของตัวเอง ? ฉันจะบอกให้…เธอสามารถพบคำตอบต่อคำถามนี้ได้ในคำถามอื่น ซึ่งก็คือ อะไรคือลักษณะนิสัยส่วนใหญ่ของมนุษย์บนโลกนี้ ความกลัวหรือความขี้เกียจ ?
อืมม์...ใช่...นั่นล่ะต้นตอของปัญหาทั้งหมด และโลกจึงยังเป็นอยู่อย่างเช่นทุกวันนี้ไงล่ะ
ทีนี้เธอคงเข้าใจแล้วสินะว่า ทำไมฉันจึงรู้สึกแปลกแยกต่อตัวเอง ต่อชีวิต และต่อโลก…ก็อาจจะจริงอย่างเธอว่านะ ฉันคงอ่อนแอเกินไป ฉันคงเป็นโรคจิต แต่ช่างมันเถอะฉันไม่แคร์หรอก ยังไงฉันก็ได้ในสิ่งที่ฉันต้องการแล้ว ฉันได้ตายสมใจ เธอรู้ไหม ฉันทำใจอยู่นานมากนะกว่าจะกล้ากระโดดลงมา…เธอดูนั่นสิ…ฉันชอบรอยหยักยึกยือไร้ระเบียบสีแดงเข้มนั่นจัง เธอลองมองดูสิ ฉันว่ามันสวยดีนะ.

…………………………………………..

ภาพประกอบจากเว็บไซด์ http://www.klongrua.com/board/view.php?id=0233


All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak

ความเรียงเกี่ยวกับภาพยนต์:Batman Begins

Batman Begins-ฮีโร่ธรรมดาๆ...

สารภาพตามตรงว่า...แรกทีเดียว Batman Begins ไม่อยู่ในรายชื่อหนังที่ผมจะเขียนถึง แต่เมื่อเปิดดูได้เพียง 49 นาที ผมก็จำต้องกดปุ่ม Pause หยุดจินตนาการตรงหน้าไว้ก่อนทั้งที่กำลังสนุก นั่นเป็นเพราะผมเกรงว่าตัวเองจะลืมประเด็นสำคัญต่างๆ ที่อยากกล่าวถึง
แรงจูงใจที่กระตุ้นผมให้เขียนถึง Batman ภาคนี้ มีอยู่หลายประการด้วยกัน กล่าวคือ ความประณีตของบทภาพยนตร์ที่ทีมผู้สร้างให้ความสำคัญ ความสมบูรณ์ของรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญ ที่ช่วยขจัดข้อสงสัยในใจที่มีอยู่เดิมจากการชม Batman ภาคก่อนๆ ยกตัวอย่างเช่น ทำไมต้องเป็นแบทแมนด้วย หากบรูซแค้นเคืองในตัวฆาตกรผู้สังหารบุพการีของเขาจริง หรืออดรนทนไม่ไหวกับอาชญากรรมที่แฝงอยู่ทุกหย่อมหญ้าในก็อธแธม เมืองอันเป็นที่รักของพ่อเขา ด้วยอำนาจและบารมีที่มีอยู่ บรูซจะลุกขึ้นมาต่อกรกับสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวของเขาเองก็ย่อมได้ แต่ทำไมต้องซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากค้างคาว...
“เพราะผมอาจจะกลายเป็นคนที่มีศัตรูมากมาย สักวันหนึ่งใครบางคนอาจพยายามฆ่าผม และผมอาจจะตายได้...แต่สัญลักษณ์ไม่มีวันตาย...ต้องเป็นบางสิ่ง...บางสิ่งที่พื้นๆ”
คำตอบของเขาน่าสนใจครับ...ดูอย่างอัลเบิร์ต ไอสไตน์นั่นประไร ตายจนไปเกิดใหม่กี่ภพกี่ชาติแล้วก็ไม่รู้ แต่ทุกวันนี้ ใบหน้ากับหัวฟูๆ ของเขา ก็ยังคงเป็นโลโก้ของอะไรต่อมิอะไรอีกตั้งหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นสัญลักษณ์ของความฉลาดหลักแหลม จีเนียสโคตรๆ! ว่างั้นเถอะ...หรือไม่จริง
แล้วทำไมต้องเป็นค้างคาว เป็น Batman ด้วยล่ะ ทำไมไม่เป็นมด เป็น Antman หรือเป็นหนู เป็น Ratman ก็เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับปมในวัยเด็กของเขาน่ะสิ...ยามบ่ายวันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่บรูซยังเป็นเด็กๆ ขณะเขากำลังวิ่งเล่นอย่างเพลิดเพลินอยู่ในสวนกับเพื่อนสาวตัวน้อยนั่นเอง ทันใดนั้นเขาก็พลัดตกลงไปในถ้ำลึกลับ จนเป็นเหตุให้ถูกฝูงค้างคาวเจ้าถิ่นทำร้ายเอาเล็กน้อย ซึ่งกลายเป็นปฐมบทแห่งความกลัวภายในจิตใจของเขาในเวลาต่อมา...ทีนี้คงรู้กันแล้วใช่ไหมครับว่า ทำไมเขาจึงตั้งชื่อหนังเรื่องนี้ว่า “Batman Begins”
แน่นอน Batman Begins มีส่วนผสมของความเป็นหนังดราม่าอยู่สูง และสิ่งนี้นั่นเอง ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของซูเปอร์ฮีโร่คนเก่าๆ ที่เคยลอยอยู่สูง ห่างไกลความเป็นจริง ถูกดึงลงมาให้ต่ำลงจนเราสัมผัสได้ ความเป็นปุถุชนที่ถูกเติมเข้าไปในรายละเอียดของ บรูซ เวย์น อย่าง “ความกลัว” ทำให้แบทแมนมีความใกล้เคียงกับคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ มากยิ่งขึ้น (แม้เขาจะยังคงหล่อบาดใจสาวและรวยล้นฟ้าก็เถอะ) ต่างจากภาคก่อนๆ ที่มักจะโฟกัสไปที่ปมทางจิตอย่าง “ความแค้น” (ที่มีต่ออาชญากร-อาชญากรรมที่ทำให้พ่อแม่ของเขาต้องตาย) เพียงอย่างเดียว
นอกจากกล่าวถึงความกลัวในจิตใจของซูเปอร์ฮีโร่แล้ว (มีอย่างที่ไหนเป็นถึง Batman แต่กลับ(เคย)กลัวค้างคาวตัวเล็กๆ) หนังยังสอดแทรกปรัชญาไว้ให้ขบเล่น หากเราละเมียดละไมพอ เช่น การขจัดความกลัวในสิ่งใด แท้แล้วมีแต่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นอย่างกล้าหาญเท่านั้น หรือ การแสวงหาคำตอบ(ปัญญา)ที่แท้ ล้วนมาจาก “ด้านใน” มิใช่ภายนอก...
สิ่งที่ผู้กำกับหนุ่มไฟแรงอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน ปฏิวัติ (อีกครั้ง) ใน Batman Begins คือการฉีกกฎและลบมุมมองเดิมๆ ที่เราเคยมีต่อซูเปอร์ฮีโร่ ว่าจะต้องเลิศเลอเพอร์เฟ็กต์ สมบูรณ์แบบ 24 ช.ม. ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ในทางตรงข้าม ซูเปอร์ฮีโร่ก็อ่อนแอได้ ร้องไห้เป็นเหมือนกัน...แม้ในความเป็นจริง หากนึกถึงแบทแมนอันหม่นเศร้าของ ทิม เบอร์ตั้น แล้ว เขาจะไม่ใช่คนแรกที่ทำอย่างนั้นก็เถอะ
แต่อย่างน้อยที่สุด เท่าที่จำความได้...ผมก็ยังไม่เคยเห็นภาพของเมืองก็อธแธมในความสว่างมาก่อนเลยจริงๆ.

.................................................

All Rights Reserved.
2006 Copyright©Chartvut Bunyarak