เรื่องสั้น:สมการศีลธรรม (G = Mbˆ²)

เสียนี่กระไร อีกทั้งหญิงสาวเพื่อนร่วมงานคนสนิท ซึ่งเขาตามติดคั่วหล่อนอยู่นานหลายปี หวังจะได้เธอมาเป็นเพื่อนคู่คิดเคียงข้างกาย ก็ดันบังเอิญมาตอบรับรักเขาเมื่อสองวันก่อน...
ด้วยเหตุนี้ เพื่อนสนิทมิตรสหาย จึงต่างพากันอ้าปากค้างกับภาพลักษณ์ใหม่ของเขา จากที่เคยชินกับกางเกงยีนฟิตๆ สีซีด เสื้อยืดมอซอสักตัว ทับด้วยกั๊กที่เต็มไปด้วยช่องเล็กซอกน้อย สะพายกระเป๋ากล้องเฉียงไหล่ และรองเท้าเดินป่าคู่เก่ง...เรืองกิตติ์ไม่ลังเลเลย เมื่อช่างตัดผมเปิดฉากการขายด้วยบริการเสริม อย่างไฮไลท์ผมเป็นสีทองหย่อมๆ ตามสมัยนิยม ท่อนบนของเขาถูกแทนที่ด้วยเชิ้ตแขนสั้นใหม่เอี่ยม ท่อนล่างเปลี่ยนเป็นกางเกงสแลคสีเข้ม กับรองเท้าหนังมันวาว
และด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนในละแวกบ้านจึงต้องแปลกใจไปตามๆ กัน เมื่อได้ยินเสียงผิวปากฮัมเพลง เล็ดรอดออกมาจากเนื้อบางๆ ที่เคยปิดสนิทคู่นั้น หนำซ้ำยามเดินผ่าน เขายังเที่ยวส่งยิ้มให้ใครต่อใครอย่างกับเป็นนางสาวไทย สีหน้าและแววตาภายใต้แว่นกลมโตคู่นั้น จากที่เคยเฉยชาไร้ความรู้สึก แม้โลกจะแตกที่ตรงหน้าก็ตามที กลับเปี่ยมไปด้วยประกายระยิบวิบวับ บนดวงหน้าอิ่มเอิบล้นสุข กระทั่งป้าอาดผู้ซึ่งเคยผัดข้าวให้เขากินเป็นประจำ ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้หมอนี่มันใช่ไอ้กิตติ์ที่เคยมากินบ่อยๆ เหรอวะ...
รถปรับอากาศสาย 126 เคลื่อนมาจอดตรงป้ายอย่างเนิบช้า ตามการจราจรอันแสนสาหัสของบ่ายวันเสาร์ ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่ไม่ไกลนัก เรืองกิตติ์สังหรณ์ใจตั้งแต่ยังไม่ก้าวขึ้นรถแล้วว่า วันนี้จะต้องมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเขาอีกอย่างแน่นอน มันเป็นลางแบบเดียวกับตอนที่เขามือขึ้น ยามเป็นเจ้ามือไพ่ป๊อกเด้งครั้งก่อน แล้วก็เป็นจริงดังคาด...รถค่อนข้างโปร่งคน มีที่ว่างให้เลือกนั่งมากมาย เขาตัดสินใจนั่งติดกระจกซ้าย ถัดจากประตูทางลงเพียงสองแถว เพราะอีกไม่กี่ป้ายก็จะถึงบิ๊กซีลาดพร้าว จุดหมายปลายทางที่นัดกับสาวคนรักไว้ เขาตั้งใจว่าจะหาหนังดีๆ ดูสักเรื่อง ต่อด้วยดินเนอร์ใต้แสงเทียนที่ไหนสักแห่ง แต่ยังไม่ทันจะหย่อนก้นลงนั่งดี สายตาก็เหลือบไปเห็นโชคดีที่ตรงหน้า มันนอนสงบนิ่งอยู่ริมกระจก เรืองกิตติ์เหลือบซ้ายแลขวาก่อนเอื้อมไปคว้ามาไว้ในมือ รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก เขาเพ่งเหรียญสิบบาทเหรียญนั้นอย่างมีนัยสำคัญ สัญญาณความคิดขณะนั้นพอจะถอดรหัสได้ว่า...นี่กูจะเฮงอะไรกันนักกันหนาวะ...
จำเป็นต้องขยายความตรงนี้สักนิด...
แม้เราจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า โลกปัจจุบัน ในยุคทุนนิยม-สมัยบริโภคแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งอ้างการเปิดเสรีทางการค้าและอาศัยกลไกตลาด เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขยายอาณาจักร จะกำลังเบ่งบานจนถึงขีดสุดนั้น อาจมีตัวแปรอันเหมาะสมต่างๆ มากมาย ที่เอื้อให้เชื้อร้ายซึ่งแฝงฝังอยู่ตามมุมมืดเล็กๆ ภายในจิตใจเรา แพร่พันธุ์ได้อย่างง่ายดายในอัตราเร่งที่ทบทวีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นความรัก โลภ โกรธ หลง อยากได้ใคร่มี อิจฉาริษยา ชิงดีชิงเด่นฯ
และแม้ว่าเราอาจจะพออนุมานได้ว่า เรืองกิตติ์เป็นคนเมือง อย่างน้อยที่สุดเขาก็ทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เมื่อประเมินจากรูปแบบในการดำเนินชีวิต เครื่องแต่งกาย และวิธีการเดินทางแล้ว สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมน่าจะอยู่ที่ระดับ กลาง-ต่ำ ถึง กลาง-กลาง แต่คงไม่ถึง กลาง-สูง เรียกง่ายๆ ก็คือชนชั้นกลางทั่วไปนั่นเอง
แต่ที่เรายังไม่ทราบพอๆ กัน นั่นก็คือ ประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กของเขา...
องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษา ในขอบเขตของพรมแดนทางวิทยาศาสตร์บอกกับเราว่า ช่วงอายุตั้งแต่ 0 - 6 ขวบนั้น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับการเรียนรู้ของเด็กๆ เหตุที่ทั้งทัศนคติ วิธีคิด ความเข้าใจต่อสิ่งเร้าต่างๆ รอบตัว ตลอดจนบุคลิกภาพนั้น จะถูกพัฒนาและก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาในช่วงวัยนี้นั่นเอง
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่โชคดีเป็นยิ่งนัก อาจกล่าวได้ว่าเป็นบุญหัวของเรืองกิตติ์เลยทีเดียว เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น พ่อ-แม่ของเรืองกิตติ์มีความจำเป็นต้องเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ พวกเขาจึงตัดสินใจส่งเรืองกิตติ์กลับไปให้ย่าแท้ๆ ของเขาเลี้ยงดูที่ต่างจังหวัด และในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเอง ที่เรืองกิตติ์มีโอกาสได้ซึมซับถึงภูมิปัญญาและคุณค่าของอะไรบางอย่างเข้าไปโดยไม่รู้ตัว...กล่าวให้ชัดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แทบจะตั้งแต่วันแรกที่เขาเริ่มตั้งไข่เลยทีเดียว ที่ย่ามักจะจูงมือเขาไปยืนรอพระใส่บาตรในยามเช้า จากเด็กตัวน้อยที่เคยยืนมองเพศบรรพชิตในชุดเหลืองด้วยแววฉงนฉงาย ผ่านไปไม่กี่ปี เขาก็กลายเป็นคนที่ทำหน้าที่นั้นไปเสียเอง
ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยในการทำบุญ-ทำทาน จึงฝังอยู่ในกมลสันดานของเรืองกิตติ์เรื่อยมา อาจกล่าวได้ว่า ด้วยการละ รู้จักเสียสละนั่นเอง ที่เป็นวัคซีนป้องกันหัวใจของเขาเอาไว้ จากการรุกคืบอย่างรวดเร็วของเชื้อทุนนิยมสายพันธุ์ Minimum Cost-Maximum Profit ซึ่งกำลังระบาดไปทั่วโลกอย่างหนัก อันส่งผลให้เกิดความเห็นแก่ตัวอย่างไร้จุดสิ้นสุด ขึ้นในหัวใจของผู้คนมากมายในปัจจุบัน...นับเป็นโชคดีของเรืองกิตติ์...
ตอนที่ก้าวขาลงจากรถนั้น เรืองกิตติ์มีเป้าหมายที่ชัดเจนในใจแล้วว่า เขาจะทำทานให้กับคนยากสักคนบนสะพานลอยแห่งนี้ เผื่อผลบุญนั้นจะย้อนคืนสิ่งดีๆ มาสู่เขาบ้างในอนาคต แต่ที่ยังไม่รู้และต้องตัดสินใจต่อไปก็คือ จะให้กับใคร คนไหน และเพราะอะไรนั่นเอง
เป้าหมายแรกนั่งชิดราวสะพานด้านขวา ไม่ไกลจากตีนสะพานลอยขาขึ้นมากนัก เรืองกิตติ์แทบจะตัดเธอออกจากตัวเลือกตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็น หล่อนเป็นหญิงสาวอายุไม่เกิน 30 ปี จากภายนอกแล้วดูท่าทางแข็งแรงดี ไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือพิการที่ตรงไหน ในอ้อมกอดประคองอยู่ด้วยทารกน้อยที่กำลังแหกปากร้องจ้า และนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาจำต้องตัดหล่อนออกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่ค่อยชอบให้เงินกับขอทานประเภทนี้นัก คิดเอาเองว่ามันออกจะง่ายเกินไป และที่สำคัญเป็นการหากินที่เอารัดเอาเปรียบเด็ก...วินาทีที่เดินผ่านหน้าหล่อนนั้น เรืองกิตติ์รู้สึกว่าทารกน้อยหยุดร้องไห้ไปชั่วขณะ แล้วมองสบตามายังเขาอย่างตั้งคำถาม สายตาไร้เดียงสาคู่นั้นชวนให้ครุ่นคิด แต่ไม่ทันไรทางโค้งขวาบนสะพานลอย ก็บังคับให้เขาต้องละสายตาไปสู่สิ่งใหม่
เป้าหมายที่สองเป็นวงดนตรีสามชิ้นของคนตาบอด หนึ่งในนั้นคือหญิงกลางคนร่างท้วมมีกล่องรับบริจาควางอยู่บนตัก มือขวาถือไมโครโฟน หล่อนคงจะทำหน้าที่นักร้องนำ ถัดมาตรงกลางเป็นชายกลางคนนั่งอยู่หน้าคีย์บอร์ดตัวเก่ง เขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่กับสมาชิกคนสุดท้าย ซึ่งเป็นชายแก่ผิวคล้ำร่างผอมเกร็ง ผู้สะพายเครื่องดีดที่เรืองกิตติ์ไม่รู้จักชื่ออยู่บนหัวไหล่ ตำแหน่งของวงดนตรีนี้ ตั้งอยู่บริเวณริมขวาสุดด้านบนสะพานลอย คอยดักผู้คนตรงหัวโค้งที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา นับเป็นทำเลที่ดีมาก เพราะความแคบของทางจะบังคับให้ทุกสายตาที่เดินผ่าน จำต้องให้ความสนใจไปโดยอัตโนมัติ
เรืองกิตติ์เกือบจะหย่อนเหรียญสิบบาทลงไปในกล่องอะลูมิเนียมสีเงินนั่นอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ติดตรงที่มันเป็นช่วงพักเบรคของวง เสียงดนตรีจึงเงียบลง ครั้นจะหย่อนเหรียญลงไป เขาก็รู้สึกว่ามันออกจะง่ายเกินไปสักหน่อย เหตุที่เขาไม่ได้รับสิ่งแลกเปลี่ยนใดๆ เลย แม้มันจะเป็นเพียงแค่ความบันเทิงข้างถนนก็เถอะ แต่เหตุผลแท้จริงที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจ น่าจะเป็นรอยยิ้มอันสุดแสนจะเปี่ยมสุขของชายกลางคนมือคีย์บอร์ด ที่กำลังหัวร่อต่อกระซิกกับผองเพื่อนทั้งสองมากกว่า...โดยไม่มีสาเหตุ...เรืองกิตติ์กลับรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ช่างทิ่มแทงความรู้สึกในเบื้องลึกของเขายิ่งนัก แม้จะเดินผ่านมาไกลถึงกลางสะพานลอยแล้ว แต่เขาก็ยังอดชะงักเท้าเหลียวกลับไปมองรอยยิ้มนั้นอีกครั้งไม่ได้...
หลังจากผ่านโค้งซ้ายที่เชื่อมสู่ทางลงมาได้ไม่ไกล เป้าหมายที่สามก็ปรากฏสู่สายตา คราวนี้เป็นชายฉกรรจ์หน้าตาอมทุกข์ ผมยาวกระเซิง ในชุดกระดำกระด่าง เบื้องหน้ามีแก้วพลาสติกเก่าๆ ตั้งอยู่หนึ่งใบ ความน่าสนใจอยู่ตรงลักษณาการที่เขานั่ง กล่าวคือ คล้ายการนั่งพับเพียบ เพียงแต่จงใจเก็บปลายเท้าข้างขวาเอาไว้ให้มิดชิด โดยอำพรางด้วยถุงกระดาษเก่าๆ กับเศษผ้าห่มสกปรกๆ สักผืน อีกทั้งกางเกงข้างขวาตั้งแต่เหนือหัวเข่าลงไป จะถูกตัดให้ขาดกะรุ่งกะริ่งเพื่อความสมจริง แต่งแต้มด้วยรอยแผลแดงๆ เยิ้มๆ ล่อให้แมลงวันมาตอม เพิ่มความน่าสงสารเข้าไปอีก มองเผินๆ แล้ว จึงคล้ายกับคนขาด้วนที่ขาดตั้งแต่หัวเข่าลงไปเลยทีเดียว...แต่ปราชญ์ย่อมไม่พลาดพลั้งเป็นครั้งสอง เรืองกิตติ์เคยเห็นขอทานในลักษณะเดียวกันนี้ ลุกขึ้นยืนสองขาเดินตัวปลิวมาแล้วที่สะพานลอยแห่งหนึ่ง ครั้งนี้เขาจึงเดินผ่านเลยไปอย่างไม่คิดจะเหลียวแลแม้เพียงน้อยนิด
เดินลงมาอีกไม่กี่สิบก้าว สิ่งที่เขารอคอยก็ยืนอยู่ตรงตีนสะพานแล้ว คนนี้แหละ...ใช่เลย เรืองกิตติ์บอกกับตัวเองในใจอย่างนั้น ขอทานคนสุดท้ายเป็นชายชราตาบอด ใส่ชุดม่อฮ่อมสีซีดจาง เนื้อผ้าตรงด้านหลังคอมีริ้วรอยเปื่อยยุ่ยอย่างเห็นได้ชัด เขากำลังบรรจงสีซอตัวเก่งที่สะพายอยู่บนไหล่อย่างตั้งใจ ปากก็ร้องร่ำทำเพลงเป็นภาษาพื้นถิ่น ที่เรืองกิตติ์เองก็ฟังไม่ค่อยจะออก แต่นั่นก็หาได้สลักสำคัญกับเรืองกิตติ์ไม่ เพราะสำหรับเขาแล้ว คุณลุงคนนี้แหละ ใช่เลย!
ก่อนจะเดินถึงตัววณิพกตาบอดเล็กน้อย เรืองกิตติ์คว้าเหรียญสิบบาทออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขากำลังจะหย่อนเหรียญสิบเหรียญนั้นลงในกระป๋อง ซึ่งวางอยู่ข้างหน้าชายชราอยู่แล้วเชียว แต่พลันนั้น...เสียงเสียงหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดอ่านของเขาเป็นอย่างสูง ก็พลันแว่วขึ้นในกระแสสำนึก มันค่อยๆ ดังขึ้นๆ และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ...เสียงนั้นดังก้องกังวานอยู่ในหัวว่า...มีออมไม่มีอด...มีออมไม่มีอด...
จำเป็นต้องขยายความตรงนี้อีกสักนิด...
ด้วยอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์นั้น จากการศึกษาของนักวิชาการในหลายสาขาหลากอาชีพ ระบุผลการวิจัยต้องตรงกันว่า สื่อดังกล่าวมีอิทธิพลต่อความคิดอ่านของมวลชน มากกว่าสื่อประเภทอื่นๆ อย่างเหลือคณานับ ปัจจัยหนึ่งนั้นอาจเป็นเพราะลักษณะเฉพาะของสื่อโทรทัศน์เอง ที่ง่ายต่อการเข้าถึง ง่ายต่อการเสพรับมากกว่าสื่อชนิดอื่นๆ เช่น หนังสือพิมพ์(จำเป็นต้องอ่านออกเขียนได้) หรือ วิทยุ (ไม่มีความดึงดูดใจเท่ากับสื่อโทรทัศน์ซึ่งมีภาพเคลื่อนไหว) ซึ่งอิทธิพลดังกล่าวอาจเป็นไปทั้งในทางสร้างสรรค์หรือทำลายล้างก็เป็นได้ ดังที่เคยปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งว่า แม่ค้าในตลาดสดคว้าเปลือกทุเรียนไล่ตบหน้านักแสดงสาว ซึ่งสวมบทบาทเป็นนางร้ายหรือตัวอิจฉาในละครโทรทัศน์
อาจกล่าวให้ชัดยิ่งไปกว่านั้นได้ว่า...ทันใดนั้นเอง สโลแกนอันเคยคุ้น (ซึ่งเกิดจากการกระหน่ำยิงสปอตโฆษณา*ทางโทรทัศน์ซ้ำๆ จนเกือบจะเป็นการสะกดจิต เพื่อหวังผลในทางสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับท่านผู้นำประเทศของเรา) ก็เด่นหราชัดแจ้งดั่งโดนไฟส่องขึ้นในกระแสการรับรู้ของเรืองกิตติ์ หนำซ้ำยังปรากฏขึ้นในรูปแบบของทำนองเพลงเสียด้วย...มีออมไม่มีอด...
ออมหนึ่งส่วนใช้สามส่วน...มีออมไม่มีอด...
โจทย์ทางคณิตศาสตร์ง่ายๆ จึงผุดขึ้นในหัวสมองของเรืองกิตติ์ทันทีทันใดอย่างอัตโนมัติ ซึ่งพอจะถอดรหัสออกมาได้ใจความว่า...
“เงิน 10 บาท แบ่งออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กัน เท่ากับ...
วิธีทำ
10 ÷ 4 = 2.50 บาท
ตรวจทานคำตอบ
2.50 x 4 = 10 บาท
เพราะฉะนั้น เงิน 10 บาท แบ่งออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กัน จึงเท่ากับส่วนละ 2.50 บาท”
ได้คำตอบดังนั้น เรืองกิตติ์จึงตัดสินใจเก็บเหรียญสิบบาทเหรียญนั้น กลับคืนไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม จากนั้นคว้ากระเป๋าสตางค์ออกจากกระเป๋าหลัง หยิบเหรียญบาทสองเหรียญกับเหรียญห้าสิบสตางค์อีกหนึ่งเหรียญที่ซ่อนอยู่ในช่องน้อย หย่อนลงไปในกระป๋องของชายชรา เสียงโลหะกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง เป็นจังหวะเดียวกับที่รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นตรงมุมปากของเรืองกิตติ์อีกครั้งอย่างภาคภูมิใจ...แล้วเขาก็เดินเลี่ยงไปยังทิศที่รถขายลูกชิ้นปิ้งจอดอยู่ ก่อนกล่าวกับคนขายด้วยเสียงดังฟังชัด บ่งบอกถึงความอารมณ์ดีว่า
“เอ็นเนื้อไม้นึงครับ!”
........................................................
* ช่วงปลายปีพ.ศ. 2548 มีโฆษณาทางโทรทัศน์เรื่องหนึ่งของธนาคารออมสิน ซึ่งออกอากาศอยู่เป็นระยะเวลานานพอสมควร และได้รับการกล่าวขวัญถึงกันมาก จนกลายเป็น Talk of the Town อยู่พักใหญ่ ด้วยเนื้อหานั้นกล่าวถึงชีวิตในอดีตของนายก ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่มาของคำพูดยอดนิยมที่ว่า “มีออมไม่มีอด” หรือ “ออมหนึ่งส่วนใช้สามส่วน”
ภาพประกอบจากเว็บไซด์:http://en.wikipedia.org/wiki/Web_notes
All Rights Reserved
2007 Copyright©Chartvut Bunyarak
All Rights Reserved
2007 Copyright©Chartvut Bunyarak